ทริสฯ หั่นเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ EA เหลือ BBB+ ด้าน ThaiBMA ขึ้น IC ตราสารหนี้ EA
ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร และหุ้นกู้ EA เป็นระดับ “BBB+” จาก “A-” แต่ยังคงแนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" ด้าน ThaiBMA ขึ้นเครื่องหมาย IC ตราสารหนี้ EA จำนวน 20 รุ่น มู,ค่ารวม 32,566 ล้านบาท
ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทเป็นระดับ “BBB+” จาก “A-“ ในขณะที่ยังคงแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” เช่นเดิม
พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ ในวงเงินไม่เกิน 5.5 พันล้านบาท ของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ในการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่กำลังจะครบกำหนดชำระในเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะยังคงอยู่สูงกว่าเกณฑ์ในการปรับลดอันดับเครดิตของทริสเรทติ้งที่ระดับ 5 เท่า ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยสถานะทางการเงินที่ถดถอยลงของบริษัทนั้นมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าที่ต่ำกว่าคาดและภาระหนี้สินของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องจากการขยายระยะเวลาในการรับชำระเงินจากการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าให้แก่ บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของ บริษัท ไทยสมายล์บัส จำกัด (TSB) ในการชำระคืนเงินกู้เช่าซื้อที่ค้างชำระแก่บริษัทจากการที่ TSB มีฐานะทางการเงินที่อ่อนแออีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทยังคงมีปัจจัยสนับสนุนจากกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ในระดับสูงและมีจำนวนมากจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัท
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงความเสี่ยงที่สถานะทางการเงินของบริษัทอาจอ่อนแอลงไปอีกเนื่องจากความไม่แน่นอนของแผนการเพิ่มยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าโดยการตั้งเป้าหมายไปที่ลูกค้ากลุ่มใหม่และการมุ่งเน้นการจำหน่ายในพื้นที่ซึ่งมีความพร้อมด้านสาธารณูปโภคที่ดีกว่า
ในไตรมาสแรกของปี 2567 EBITDA ของบริษัทลดลง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยลดลงเหลือ 2.27 พันล้านบาท ในขณะที่ภาระหนี้สินของบริษัทยังคงอยู่ที่ระดับ 6.42 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ การลดลงของกำไรมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าที่อ่อนแอลง รวมถึงการสิ้นสุดลงของส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า (Adder) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทที่จังหวัดนครสวรรค์และการปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft)
นอกจากนี้ ภาระหนี้สินของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงซึ่งมีสาเหตุบางส่วนมาจากการขยายระยะเวลาในการเรียกเก็บชำระหนี้การค้าจาก NEX โดย ณ สิ้นเดือน มี.ค.2567 มูลค่าลูกหนี้การค้าค้างชำระจาก NEX มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นลูกหนี้การค้าค้างชำระเกินกว่า 6 เดือน มีมูลค่าถึง 2.5 พันล้านบาท
อันดับเครดิตยังคงมีข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีความเสี่ยงด้านเครดิตของ TSB อย่างมีนัยสำคัญโดยบริษัทมีการให้สินเชื่อเช่าซื้อแก่ TSB ที่มูลค่าถึงประมาณ 9.4 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือน มี.ค.2567 ในขณะที่ผลการดำเนินงานของ TSB ยังคงอ่อนแอและต้องพึ่งพาการสนับสนุนทางการเงินจากบริษัทแม่คือ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD เป็นอย่างมากในการชำระหนี้
ในการนี้ ทริสเรทติ้งมีข้อสังเกตถึงความเป็นไปได้ที่บริษัทจะมีการส่งมอบรถโดยสารไฟฟ้าอีกประมาณ 200-300 คัน ให้แก่ TSB ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เพื่อสนับสนุนการเดินรถในเส้นทางใหม่ๆ ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากคู่ค้าเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากผลการดำเนินงานที่ยังอ่อนแอของ TSB
ในอนาคตข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทน่าจะยังยืนอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5 เท่าต่อไป ซึ่งต่างไปจากที่ ทริสเรทติ้งเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเห็นว่าความเสี่ยงที่ตัวชี้วัดด้านเครดิตของบริษัทอาจจะด้อยลงต่อไปอีกเนื่องจากผลของความพยายามในการลดภาระหนี้ของบริษัทยังคงไม่แน่นอน
ในการนี้ หากปัญหาในการเรียกเก็บชำระเงินที่ล่าช้ายังคงไม่ได้รับการแก้ไข ทริสเรทติ้งก็คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอาจจะปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่า 6.5 เท่า และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทอาจจะลดลงต่ำกว่า 10% ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ในกรณีดังกล่าว อันดับเครดิตก็อาจได้รับการปรับลดลงได้อีก
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทค่อนข้างตึงตัว แต่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ โดยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า บริษัทน่าจะสามารถชำระคืนหนี้ได้โดยอาศัยเงินทุนจากหลายแหล่ง ได้แก่ กระแสเงินสดจากโรงไฟฟ้าต่างๆ ของบริษัท การขอวงเงินกู้ระยะสั้นใหม่เพื่อทดแทนหนี้เดิม (Rollover) และการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ เป็นต้น
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงความเสี่ยงที่สถานะทางการเงินของบริษัทจะถดถอยลงอีก โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อาจปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากกระแสเงินสดจากธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลงหลังจากสิ้นสุดอายุของ Adder ในขณะที่การสร้างกระแสเงินสดจากธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้ายังคงมีความไม่แน่นอนในระยะปานกลาง นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทอาจจะต้องก่อหนี้เพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นรวมถึงแผนการลงทุนต่างๆ ของบริษัทอีกด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
ทริสเรทติ้งอาจปรับลดอันดับเครดิตลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงต่อไปอีกอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจเกิดจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของหนี้สินเพื่อใช้สนับสนุนความต้องการเงินทุนหมุนเวียน การลงทุนโดยใช้เงินกู้ยืมจำนวนมาก หรือผลการดำเนินงานของธุรกิจใหม่ ๆ ที่ยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่อง ในการนี้ ทริสเรทติ้งอาจปรับลดอันดับเครดิตหากเห็นว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 6.5 เท่า หรืออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ในระดับต่ำกว่า 10%
ในทางกลับกัน การปรับเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตมาเป็น “Stable” หรือ “คงที่” อาจเกิดขึ้นหากบริษัทสามารถลดภาระหนี้สินลงหรือสามารถปรับปรุงวงจรเงินสดในการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมีนัยสำคัญซึ่งกรณีดังกล่าวน่าจะช่วยส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 6.5 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับสูงกว่า 10% อย่างต่อเนื่อง
ThaiBMA ขึ้นเครื่องหมาย IC ตราสารหนี้ EA
ขณะเดียวกัน สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ขึ้นเครื่องหมาย Investor Caution (IC) ให้แก่ตราสารหนี้ของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA จำนวน 20 รุ่น มูลค่ารวม 32,566 ล้านบาท ประกอบด้วย
ตั๋วแลกเงิน 4 รุ่น มูลค่ารวม 1,400 ล้านบาท
1.ตั๋วแลกเงิน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) มูลค่า 400.00 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 (EA24723A)
2.ตั๋วแลกเงิน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) มูลค่า 300.00 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 1 สิงหาคม 2567 (EA24801A)
3.ตั๋วแลกเงิน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) มูลค่า 600.00 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 15 สิงหาคม 2567 (EA24815A)
4. ตั๋วแลกเงิน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) มูลค่า 100.00 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 12 ธันวาคม 2567 (EA24D12A)
หุ้นกู้ 16 รุ่น มูลค่ารวม 31,166 ล้านบาท
1.หุ้นกู้ของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2562 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 (EA248A)
2.หุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2566 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 (EA249A)
3.หุ้นกู้ของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2563 ชุดที่ 3 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 (EA257A)
4.หุ้นกู้ของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 (EA259A)
5.หุ้นกู้ของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2569 (EA261A)
6.หุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2566 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2569 (EA269A)
7.หุ้นกู้ของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 3/2562 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2569 (EA26OA)
8.หุ้นกู้ของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2570 (EA279A)
9.หุ้นกู้ของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2571 (EA281A)
10.หุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2566 ชุดที่ 3 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2571 (EA289A)
11.หุ้นกู้ของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2562 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2572 (EA297A)
12.หุ้นกู้ของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2562 ชุดที่ 3 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2572 (EA298A)
13.หุ้นกู้ของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 3 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2572 (EA299A)
14.หุ้นกู้ของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 ชุดที่ 3 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2573 (EA301A)
15.หุ้นกู้ของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 4 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2575 (EA329A)
16.หุ้นกู้ของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 ชุดที่ 4 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2576 (EA331A)
การขึ้นเครื่องหมายดังกล่าว มีผลวันที่ 15 ก.ค.2567