posttoday

NCP เปิดเทรดวันแรก 2.28 บาท เหนือจอง 14%

31 กรกฎาคม 2567

NCP เปิดเทรด mai วันแรก 2.28 บาท เพิ่มขึ้น 14% จากราคาไอพีโอ 2.00 บาท สะท้อนปัจจัยพื้นฐานธุรกิจ เตรียมนำเงินระดมทุนต่อยอดธุรกิจ 2 บริการใหม่ Upselling Service และ Dedicated Telesale Outsourcing รับเทรนด์ธุรกิจ E-Commerce ขยายตัว หนุนผลงานปี 67 เติบโตก้าวกระโดด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ไนซ์ คอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCP เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันนี้ (31 ก.ค.2567) เป็นวันแรก ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ โดยเปิดที่ราคา 2.28 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.28 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 14% จากราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 2.00 บาท 
 
ล่าสุด เวลา 11.38 น. ปรับเพิ่มขึ้น 0.32 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 16% มาอยู่ที่ 2.32 บาท มูลค่าการซื้อขายรวม 446.13 ล้านบาท 

NCP เปิดเทรดวันแรก 2.28 บาท เหนือจอง 14%

ทั้งนี้ NCP ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้า และให้บริการทำการตลาดแบบตรง (Direct Marketing) ผ่านช่องทางการขายทางโทรศัพท์ (Telemarketing) โดยสินค้าที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการจัดจำหน่าย ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ความสวยงาม และสินค้าเวชสำอาง

NCP เสนอราคาขาย IPO ที่ 2.00 บาท/หุ้น จำนวนไม่เกิน 50,000,000 หุ้น คิดเป็น 27.78% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลัง IPO โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้

1.ก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่
2.ก่อสร้างสถานที่ทำงานในเรือนจำ 
3.พัฒนาระบบเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ และพัฒนาระบบเครือข่าย เพื่อรองรับการเพิ่มจำนวนพนักงาน
4.เงินทุนหมุนเวียน

ทางด้านผลการดำเนินงานในปี 2564-2566 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 191.23 ล้านบาท 181.03 ล้านบาท และ 173.11 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 25.56 ล้านบาท 20.22 ล้านบาท และ 12.53 ล้านบาท ตามลำดับ 

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2567 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 45.30 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 2.75 ล้านบาท

นายศรัณย์ เวชสุภาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไนซ์ คอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCP เปิดเผยว่า การเข้าซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเพิ่มขึ้น 14% สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี มีศักยภาพการเติบโตสูง และมั่นใจในกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท ที่สอดรับไปกับเทรนด์การเติบโตของโลกดิจิทัล รวมถึงผลประกอบการที่มีโอกาสเติบโตได้อีกไกลในอนาคต

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน จะใช้ก่อสร้างสำนักงานแห่งใหม่ เพื่อรองรับพนักงานที่เพิ่มขึ้น และวางแผนให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เรื่องธุรกิจ Telesales โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 3/2568, ก่อสร้างห้องทำงาน Telesales ในเรือนจำ ตามการขยายโครงการโครงการคืนคนดีสู่สังคมในเรือนจำ รวม 5 แห่ง ภายในปี 2569, พัฒนาระบบซอฟต์แวร์ สำหรับธุรกิจใหม่และพัฒนาระบบเครือข่าย เพื่อรองรับการเพิ่มจำนวนพนักงานภายในสิ้นปี 2568 และเป็นเงินทุนหมุนเวียน 

ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจภายหลังการระดมทุน จะมุ่งต่อยอดจากธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญเดิม ซึ่งเป็น Business Model ใหม่ ที่จะทำให้บริษัทเติบโตไปกับโลกดิจิทัล ควบคู่กับตลาด E-commerce ที่มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ประกอบด้วย 1.การให้บริการเพิ่มยอดขายสินค้าจากการขายครั้งแรก (Upselling Service) เป็นบริการสำหรับคู่ค้าพันธมิตรที่ต้องการให้ NCP จัดหาพนักงานขายสินค้าทางโทรศัพท์ (Telesales) เพื่อติดต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย สนับสนุนให้ยอดขายเพิ่มผ่านการนำเสนอโปรโมชั่นต่างๆ ที่จะเข้าไปช่วยกระตุ้นยอดขายต่อบิลให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 

และ 2.ธุรกิจให้บริการบริหารพนักงานขาย (Dedicated Telesale Outsourcing) เป็นการจัดหาทีมขายผ่านโทรศัพท์ (Telesales) เฉพาะเจาะจงให้กับเจ้าของสินค้า รวมถึงการให้บริการแบบครบวงจร ที่ครอบคลุมไปถึงการจัดการระบบคลังสินค้า การจัดส่ง การเก็บเงิน การวางแผนแนวทางนโยบายการขายสินค้าผ่านการวิเคราะห์การสั่งซื้อในอดีตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำร่วมกับการนำเสนอสินค้าใหม่ๆ ที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอาจมีความสนใจ 

โดยทำให้ NCP สามารถให้บริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในหลายธุรกิจ ทำให้ผู้ประกอบจำนวนมากเลือกใช้ Telesales ในการทำการตลาดออนไลน์เพื่อต่อยอดธุรกิจ ส่งผลให้บริการของบริษัทเป็นที่ต้องการของตลาด ด้วยเหตุนี้ NCP จึงเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย ที่เข้าไปสนับสนุนธุรกิจ E-Commerce ให้มีผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นับเป็นการสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเพิ่มพนักงานขายสินค้าทางโทรศัพท์ที่เป็นพนักงานประจำและผู้ต้องขังเป็น 1,000 คน จากปัจจุบันที่มี 219 คน ประกอบด้วย พนักงานประจำ 85 คน และผู้ต้องขัง 134 คน โดยมีแผนขยายขอบเขตการทำงานในเรือนจำ เพื่อให้มีพนักงาน Telesales เพิ่มขึ้นปีละ 100-150 ที่นั่ง (2-3 เรือนจำ/ปี) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเข้านำเสนอโครงการและสำรวจพื้นที่เรือนจำแห่งใหม่อีก 5 แห่งทั่วประเทศ (โดยในช่วงไตรมาส 2-3/2567 มีแผนเข้าสำรวจพื้นที่เรือนจำแห่งใหม่อีก 1 แห่ง ส่วนปี 2568-2569 คาดเปิดดำเนินการอีกปีละ 2 แห่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาและนำเสนอโครงการ)

ด้าน นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน NCP กล่าวว่า การเปิดซื้อขายหุ้นวันแรกในราคาเปิดเหนือจอง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของ NCP โดยบริษัทมีแผนนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO จำนวน 50 ล้านหุ้น ราคา 2.00 บาท/หุ้น รวมจำนวนเงินที่ได้ 100 ล้านบาท ไปต่อยอดธุรกิจ สร้างความเข้มแข็ง พร้อมทั้งผลักดันการเติบโตให้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมาย

ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ได้แสดงความจำนงค์ขอ Lock Up หุ้นทั้งหมด 100% โดยได้ทำสัญญากับบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เพิ่มเติมในสัดส่วนที่เหลือจากการติด Silent period เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยจะงดการเสนอขาย หรือโอนด้วยวิธีการใดๆ นับแต่วันที่หุ้นเริ่มซื้อขาย (Lock-Up) เพื่อแสดงความจริงใจ รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดแก่นักลงทุน และพร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตให้กับบริษัทอย่างยั่งยืนในอนาคต
 
ขณะที่ นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายร่วม (Joint Lead Underwriters) กล่าวว่า นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของ NCP ที่จะนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนไปต่อยอดธุรกิจให้แข็งแกร่ง เพราะถือเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจ E-Commerce ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด 

โดย NCP ถือเป็นบริษัทที่มีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับต่ำ การดำเนินธุรกิจมีความคล่องตัว และไม่มีภาระต้นทุนที่สูง ซึ่งการกำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่ราคา 2.00 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E)เท่ากับ 28.14 เท่า นับเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน และถือว่ามีความเหมาะสมสำหรับนักลงทุน โดยเชื่อว่า NCP จะเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุนในอนาคต

นางสาวออมสิน ศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนร่วม (Joint Lead Underwriters) กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์ของผู้บริหาร ด้านการทำการตลาดแบบตรง (Direct Marketing) มากว่า 20 ปี อีกทั้ง NCP ที่เปิดดำเนินธุรกิจมากว่า 11 ปี มีผลขาดทุนเพียงปีแรกที่เริ่มดำเนินการ และปีที่บริษัทมีการปรับโครงสร้างองค์กร แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่มีความระมัดระวัง สามารถบริหารธุรกิจท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี 

โดยมองว่า ธุรกิจ E-Commerce ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ถือเป็นโอกาสสนับธุรกิจ NCP ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งโครงการ “คืนคนดีสู่สังคม” นับเป็นการให้โอกาสคนอื่น สุดท้ายแล้วก็จะสะท้อนกลับมาเป็นผลดีกับ NCP ในการต่อยอดการขยายทีมงานได้มีประสิทธิภาพ และรวดเร็วแบบยั่งยืนในอนาคต