posttoday

จับตาคำวินิจฉัยถอดถอนนายกฯ 14 ส.ค.นี้ ดัชนีหุ้นไทย อยู่ หรือ ไป ?

07 สิงหาคม 2567

"ดร.ภากร ปีตธวัชชัย" จับตาศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดีถอดถอนนายกฯ วันที่ 14 ส.ค.นี้ ด้าน "ศรพล ตุลยะเสถียร"ลุ้นกำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีหลังออกมาดีดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลกลับ

     วันที่ 14 ส.ค.2567 เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมพิจารณาคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี "เศรษฐา ทวีสิน" นี่คือประเด็นที่ต้องจับตา เพราะหากศาลฯตัดสินออกมาว่าขาดคุณสมบัติและต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จะกระทบต่อการเดินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล พร้อมฉุดดัชนีหุ้นไทยอย่างแน่นอน แต่ในทางกลับกันหากเกิดกรณีสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้หลายฝ่ายถือเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยได้เช่นกัน

     ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้าจับตาศาลรัฐธรรมนูญเตรียมพิจารณาคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในวันที่ 14 ส.ค.2567 ถือเป็นประเด็นที่ต้องติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ส่วนผลกระทบนั้นมองคล้ายเดิม เพราะหากดูรัฐบาลยังใช้งบลงทุนน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นงบเรื่องเงินเดือนราว 60-70% ส่วนเงินลงทุน 30% ยังออกมาใช้น้อย ดังนั้นมองว่าดาวไซด์มีน้อยกว่าอัพไซด์

     ถามว่า นักลงทุนต่างชาติสอบถามเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ เบื้องต้นยังไม่มีการสอบถาม อาจต้องรอดูการจัดงานไทยแลนด์โฟกัสที่จะจัดขึ้นในวันที่ 28 ส.ค.2567นี้ ซึ่งภายในงานจัด 4 ธีมหลัก คือ รีโลเคชั่น , เมดิคอลฮับ , ดิจิตอลอินโนเวชั่น และ ไคลเมทแอคชั่น โดยมีหน่วยงานสำคัญ อย่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย , ก.ล.ต. , ตลท. และธนาคารขนาดใหญ่ในต่างประเทศมาให้ข้อมูลกว่า 200 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทในต่างประเทศ 50 บริษัท และอีก 120 บริษัทในประเทศเช่นเดียวกับปี 2022

     "ภาวะการลงทุนช่วงนี้ถือว่าผันผวนสูงอาจทำให้นักลงทุนแตกตื่น แต่ขอให้ติดตามข้อมูลให้ดี เพราะมีทั้งความเสี่ยงและโอกาส จะเห็นว่าในช่วงเช้าวันนี้(7 ส.ค.67) ต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 1,700 ล้านบาท ดังนั้นนักลงทุนอย่ากังวลเรื่องตลาด Risk on หรือ Risk off แต่ติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ในระยะยาวหากดูเศรษฐกิจไทยเราอยู่ในจุดที่มีอัพไซด์มากกว่าดาวน์ไซด์ เพราะจะเห็นว่าการท่องเที่ยวฟื้นตัว , ภาครัฐเริ่มมีงบออกมาใช้จ่ายและเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น"

ลุ้นกำไร บจ.ครึ่งหลังสวยดึงโฟลว์ไหลกลับ

     นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยในช่วงต้นเดือน ส.ค.นี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนจากเฟดส่งสัญญาณชัดเจนในการลดดอกเบี้ย ซึ่งเป็นประเด็นที่รอคอยมาตลอด และไม่ใช่การลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง แต่อาจจะลดถึง 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตุว่าการส่งสัญญาณดังกล่าวสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐไม่ดีหรือไม่ และเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยช้าไปหรือไม่ 

     ทั้งนี้ต้องรอดูว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยใน เดือน ก.ย. จริงหรือไม่ ส่วนการเลือกตั้งสหรัฐฯถูกจับตามองอย่างมากเช่นกัน ประกอบกับที่ผ่านมา ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์เก็บเงินสดเพิ่มขึ้น เพื่อรอซื้อของถูกช่วงเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย(Recession)ใช่หรือไม่ นี่คือการตื่นตระหนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเกิดภาวะ Recession ซึ่งทางเศรษฐศาสตร์ต้องรอดูตัวเลขเดือน ก.ย. ว่าการจ้างงานและยอดคำสั่งซื้อ PMI จะออกมาแย่ต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งตัวเลขที่ออกมาแย่เพียงเดือนเดียวยังไม่สะท้อนภาพรวมมากนัก และญี่ปุ่นเริ่มขึ้นดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนการกู้ยืมทั่วโลกไม่ถูกอีกต่อไปถือเป็นปัจจัยกดดัน

     ส่วนปัจจัยในประเทศไทย เริ่มเห็นต่างชาติเข้ามาซื้อพันธบัตรสัปดาห์ละมากกว่า 20,000 ล้านบาท ผลจากสหรัฐฯเริ่มลดดอกเบี้ยนี่จึงเป็นเหตุว่าเงินบาทแข็ง ส่วนเม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)หากบทสรุปออกมาดีในไตรมาส 4/2567 คาดว่ามีโอกาสไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ด้วยภาพเศรษฐกิจเริ่มดี แม้ขาดเรื่อง Growth Story และกำไรเท่านั้น

     "หากงบไตรมาส 2/67 ออกมาดี และดีต่อเนื่องในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีนี้ บวกกับเฟดจะลดดอกเบี้ยเดือนกันยายนพนี้หรือไม่ เพราะหากลด 0.25% ถือว่าดี แต่ถ้าลด 0.50% จะเป็นการส่งสัญญาณ Recession ใช่หรือไม่ ซึ่งก็ต้องรอดูความชัดเจนกันต่อไป"

     สำหรับภาพรวมดัชนีหุ้นไทยเดือน ก.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 25% ผลจากตัวเลขเศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง การท่องเที่ยวดี น่าจะดีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บวกกับมาตรการฟื้นเชื่อมั่นทั้ง Uptick Rule เริ่มเห็นเปอร์เซ็น Short Sell ลดลง และ ThaiESFG Fund ชัดเจน ทั้ง 3 ปัจจัยถือว่าสนับสนุนตลาดหุ้นไทยในทิศทางที่ดี

จับตาคำวินิจฉัยถอดถอนนายกฯ 14 ส.ค.นี้ ดัชนีหุ้นไทย อยู่ หรือ ไป ?