ปล่อยให้ไหลไป! SCC ราคาร่วง 9 บาทแม้แจงไฟไหม้โรงงานกดยอดขาย 0.04%

23 กันยายน 2567

มรสุมโหมซัด "SCC" ราคาทิ้งดิ่ง 9 บาท แตะ 229 บาทรับเหตุไฟไหม้โรงงานกลุ่มเคมิคอลส์ในนิคมฯมาบตาพุด กระทบยอดขาย 0.04% โบรกเกาะติดเงื่อนไขประกันภัย พร้อมประเมินอนาคตกำไรอ่อนแรงตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและรายได้เงินปันผลลด

     ช่วงเที่ยงวานนี้(22 ก.ย.2567) เกิดเหตุเพลิงไหม้และกลุ่มควันบริเวณโรงงาน บริษัท ไทยพลาสติก และเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPC ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ SCGC บริษัทสามารถควบคุมไฟไหม้ได้ตั้งแต่ช่วง 15.05 น. โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และการตรวจวัดคุณภาพอากาศพบว่ากลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว

     ซึ่งทาง "บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC" แจ้งผลกระทบยอดขายที่เกิดจากเหตุการณ์ดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 0.04 ของยอดขายของเอสซีจี และแม้เหตุการณ์ดังกล่าวได้สงบลงแล้วแต่ TPC ยังคงติดตามและดูแลความปลอดภัยต่อชุมชนและคุณภาพอากาศอย่างใกล้ชิดต่อไป

     ราคาหุ้นทิ้งดิ่ง!

     แม้ SCC จะออกมายืนยันผลกระทบที่มีต่อยอดขายเพียง 0.04% แต่ราคาหุ้น SCC ในวันนี้(23 กันยายน 2567)กลับทิ้งดิ่งตั้งแต่เช้า ราคาซื้อขายล่าสุด ณ เวลา 14.34 น. อยู่ที่ 229 บาท ลดลง 9 บาท คิดเป็น -3.78% มูลค่าการซื้อขาย 580.92 ล้านบาท ส่งผลกดดัชนีหุ้นไทยลดลงราว -0.87 จุดทีเดียว

     ฝ่ายวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า TPC เป็นบริษัทย่อยในเครือ SCG (ถือหุ้นทางอ้อมผ่าน SCGC สัดส่วน 100%) เป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติก PVC Resin กำลังผลิต 5.3 แสนตันต่อปี และสารวัตถุดิบ VCM กำลังผลิต 5.9 แสนตันปี โดยโรงงาน VCM 1 กำลังผลิต 2 แสนตันต่อปี และ VCM 2 กำลังผลิต 3.9 แสนตันต่อปี

     จากการตรวจสอบไฟไหม้เกิดขึ้นที่หน่วยผลิต Vinyl Chloride Monomer (VCM 1) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นสำหรับการผลิต PVCเหตุการณ์ดังกล่าวอาจทำให้สายผลิต VCM 1 ต้องปิดซ่อมบำรุง (ระยะเวลายังอยู่ระหว่างติดตามข้อมูลกับทางบริษัท) ทั้งนี้ หน่วยผลิต VCM 2 ยังสามารถผลิตได้ตามปกติ และบริษัทฯ อาจนำเข้าวัตถุดิบ VCM รองรับการผลิต PVC

     บริษัทจัดทำประกันภัยตามมาตรฐานทั้งด้านสินทรัพย์ และการหยุดชะงักของธุรกิจ ทั้งนี้ รายละเอียด และเงื่อนไขค่าเสียหายส่วนแรกอยู่ระหว่างติดตามข้อมูลเพิ่มเติมกับบริษัท

     ปัจจุบันฝ่ายวิเคราะห์อยู่ระหว่างประเมินผลกระทบ เบื้องต้นคาดความเสียหายไม่มาก เพราะสายการผลิต VCM 2 ยังปกติ, สามารถนำเข้าวัตถุดิบ VCM ได้, มีประกันภัยรองรับ ทั้งนี้ข่าวดังกล่าวเป็น Sentiment ลบต่อหุ้น ขณะที่ผลการดำเนินงานยังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปสอดคล้องทิศทางอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คงคำแนะนำเพียง TRADING ราคาเหมาะสม 285 บาท

     กำไรลด กดปันผล ?

     บล.ดาโอ (ประเทศไทย) มีมุมมองเป็นลบเล็กน้อยจากข่าวนี้ แม้บริษัทจะควบคุมสถานการณ์ได้แล้วแต่ต้องประเมินว่าจะกระทบสายการผลิต PVC หรือไม่ ในเบื้องต้นฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าทุกๆ 1% ที่อัตราการใช้กำลังการผลิต (utilisation rate) ของ PVC ลดลงจะกระทบ 3Q24E EBITDA ประมาณ 1% สำหรับภาพรวมกำไรในระยะสั้น ฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าบริษัทจะเห็นกำไรที่อ่อนตัว QoQ ตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี (petrochemical spread) ที่อ่อนตัวและรายได้เงินปันผลลดลงตามฤดูกาล

     เบื้องต้นคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024E ที่ 1.67 หมื่นล้านบาท เทียบกับ 2.59 หมื่นล้านบาทในปี 2023 โดยลดลงหลักๆตามกำไรจากการประเมินมูลค่ายุติธรรมราว 1.2 หมื่นล้านบาทที่หายไป ฝ่ายวิเคราะห์ยังไม่เห็นปัจจัยผลักดันหุ้นในระยะสั้น จึงยังคงคำแนะนำ "ถือ" ที่ราคาเป้าหมายปี 2024E ที่ 250 บาท อิง SOTP

Thailand Web Stat