“OKJ”มากกว่าหุ้นอาหารสุขภาพ จุดยืนหุ้น Growth Stock & ESG เติบโตยั่งยืน
เปิดใจ “ชลากร เอกชัยพัฒนกุล” หนึ่งในผู้ก่อตั้ง “OKJ” หุ้นอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ชูจุดยืนหุ้น Growth Stock ควบคู่ ESG เติบโตยั่งยืน พร้อมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ 4 ตุลาคมนี้
“ผมมั่นใจในธุรกิจของ OKJ เต็ม 100% สิ่งที่เราทำถือว่าอยู่ในเมกะเทรนด์อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เรื่อง Healthy เป็นเรื่องที่คนให้ความสำคัญอย่างมาก และเราอยากเป็น “Top of Mind Brand” ในเรื่องนี้ ดังนั้นหุ้น OKJ จึงเรียกได้ว่าเป็น “หุ้นเติบโต (Growth Stock)” ผมเชื่อว่าเรามีโอกาสที่จะเติบโตและทำทุกทางเพื่อสร้างความเติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน เพียงแต่อาจจะไม่ได้หวือหวา ผันผวน แต่จะค่อยๆเติบโต แนว “Quality Growth”
และมั่นใจว่าการเข้าเทรดวันแรก วันที่ 4 ตุลาคม 2567 นี้จะเป็นวันที่ดี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดหุ้นซึ่งผมไม่ทราบว่าสถานการณ์ในวันนั้นจะเป็นอย่างไร แต่มั่นใจว่าน่าจะได้รับการตอบรับที่ดี”
หุ้น OKJ หรือที่ทุกคนรู้จักคือ “โอ้กะจู๋” ธุรกิจให้บริการและจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เน้นวิถีเกษตรอินทรีย์ (Organic) ภายใต้แบรนด์ โอ้กะจู๋ , Oh! Juice และ Ohkajhu Wrap & Roll เตรียมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 4 ตุลาคมนี้ จำนวน 159 ล้านหุ้น ที่ราคาเสนอขาย 6.70 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัท (P/E) ที่ประมาณ 24.13 เท่า โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์(Market cap) ณ ราคา IPO ที่ 4,080.30 ล้านบาท
“อู๋ - ชลากร เอกชัยพัฒนกุล” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ บอกเล่าเรื่องราวกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่า จุดเริ่มต้นของพวกผมคือการปลูกผัก สิ่งที่เราประสบพบเจอไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติต่างๆและด้วยเราถูกหล่อหลอมเรื่องความหวงแหนธรรมชาติ เราอาจจะเน้นเรื่องนี้เป็นสำคัญ หมายถึงว่าเราเติบโตควบคู่การดูแลธรรมชาติ ดังนั้นหากนักลงทุนอยากได้บริษัทที่เติบโตปีละ 40-50% เราอาจจะไม่ตอบโจทย์ แต่ถามว่าเราทำได้หรือไม่ เชื่อว่าเราสามารถเติบโตแบบนั้นได้ แต่ผมมองว่าไม่ยั่งยืน สิ่งที่เราทำอยู่มองว่าเป็น Value ที่เราได้มีโอกาสดูแลสังคม ดูแลชาวบ้าน จึงเน้นเติบโตควบคู่กันแบบนี้
ที่สำคัญ OKJ เป็นบริษัทที่ค่อนข้างมีธรรมาภิบาล ด้วยความที่มีพาร์ทเนอร์อย่าง “บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR” ที่ค่อนข้างให้ความสำคัญในเรื่องธรรมาภิบาล เราจึงค่อนข้างชัดเจนในเรื่องนี้ และเราเป็นรุ่นแรกในการทำธุรกิจ “ความมุ่งหมาย คือ การส่งต่อธุรกิจไปให้รุ่นลูกรุ่นหลาน” ซึ่งผมมองว่ามีโอกาสเติบโตอีกมาก และเราวางแผนที่เตรียมจะทำค่อนข้างเยอะ
“นักลงทุนอาจจะต้องพิจารณาควบคู่ว่าแนวทางของเรา ตัวตนของเรา และวิถีในแบบ OKJ ตอบโจทย์หรือไม่ ด้วยสิ่งที่เราเน้นทำเรื่อง ESG ที่ไม่ใช่เพิ่งเริ่มทำแต่ทำมานานตั้งแต่มีแนวคิดทำธุรกิจ ตั้งแต่เปิดร้านแรก นั่นคือสิ่งที่ผมมองว่าเป็นความภาคภูมิใจที่เราไม่ได้มุ่งแสวงหากำไรเพียงอย่างเดียว”
ทั้งนี้ “OKJ” เตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวน 1,065.3 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขาร้านโอ้กะจู๋ ปัจจุบันมี 33 สาขา คาดปีนี้เปิดครบ 37 สาขา และเพิ่มเป็น 67 สาขาในปี 2571 , Oh! Juice ปัจจุบันมี 6 สาขา คาดเปิดครบ 70 สาขาในปี 2571 และ Ohkajhu Wrap & Roll ปัจจุบันมี 1 สาขา คาดเปิดครบ 20 สาขาในปี 2571
รวมถึงขยายธุรกิจหรือแบรนด์ใหม่ๆ , ก่อสร้างครัวกลางแห่งใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและประสิทธิภาพในการผลิต พัฒนา อุปกรณ์ และระบบสาธารณูปโภค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูก และอาจนำเงินส่วนที่เหลือไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีการเติบโตอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ดี วันนี้ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ยืนยันว่าหุ้น OKJ ปิดการจองเรียบร้อยและได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก มียอดจองซื้อจากนักลงทุนสถาบันกว่า 11 เท่า สะท้อนความมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานที่ดีและมีศักยภาพการเติบโตสูง
และด้วยความมั่นใจในศักยภาพการเติบโตของ OKJ ทำให้ บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด (Modulus) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ OR ตกลงจะซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ก่อตั้ง 3 ท่านบนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) จำนวน 31.8 ล้านหุ้น หรือร้อยละ 5.22 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลัง IPO ในวันแรกที่หุ้น OKJ เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้กลุ่ม OR รักษาสัดส่วนการถือหุ้นที่ร้อยละ 20 ภายหลังการ IPO
"OKJ" พร้อมเทรด 4 ต.ค.นี้ จับตาบิ๊กล็อต 31.8 ล้านหุ้นให้ "OR"
รู้ก่อนซื้อ! OKJ เคาะราคาไอพีโอ 6.70 บาท เปิดจอง 23-25 ก.ย.นี้