4 กูรู "หุ้น-ทองคำ-คริปโท" ผ่าเกมลงทุน เลือกตั้งสหรัฐฯ "ทรัมป์ - แฮร์ริส"
โค้งสุดท้ายศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ "โดนัลด์ ทรัมป์ - กมลา แฮร์ริส" ทราบผลชัดเจนสัปดาห์หน้า ด้าน 4 กูรูเปิดมุมคิดเกมลงทุน พร้อมงัดกลยุทธ์ลุย "หุ้น - ทองคำ - คริปโทเคอร์เรนซี"
นับเวลาถอยหลังเหลือเพียง 4 วันเท่านั้นที่ทั่วโลกจะทราบผลเลือกตั้ง "ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา" ระหว่าง "โดนัลด์ ทรัมป์" อดีตประธานาธิบดีพรรครีพับลิกัน และ "กมลา แฮร์ริส" รองประธานาธิบดี พรรคเดโมแครต ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 นี้คาดทราบผลในวันถัดไป นั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจโลก หรือแม้แต่อาจจะเป็นจุดพลิกผันของประเทศไทยเช่นกัน
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ?
"จรูญพันธ์ วัฒนวงศ์" หัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า ประเด็นที่นักลงทุนติดตามผลการเลือกตั้งสหรัฐฯครั้งนี้ นอกจากใครจะได้เป็น "ประธานาธิบดีสหรัฐฯ" นั่นก็คือ "นโยบาย" ที่จะนำมาใช้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแค่ไหน โดยเฉพาะในเรื่องของ "ภาษีนิติบุคคล" ซึ่งในฝั่งของ "ทรัมป์" ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในเรื่องการลงทุน ดังนั้นวิธีกระตุ้นที่ง่ายที่สุดอันนึงก็คือเรื่องของการลดภาษีนิติบุคคลจึงมีแนวนโยบายว่าจะลดภาษีนิติบุคคล จาก 21% เหลือเพียง 15% ซึ่งในระยะสั้นยอมรับว่าส่งผลดีกับบริษัทจดทะเบียนอย่างมาก เพราะว่าการลดภาษี ก็คือค่าใช้จ่ายลดลง นั่นหมายความว่า กําไรที่เพิ่มขึ้น
ซึ่ง S&P500 ประเมินว่าถ้าสามารถลดภาษีได้จริง กําไรของ S&P500 ค่าเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4-5% ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าในช่วงสั้นตลาดหุ้นชอบนโยบายของทรัมป์ แต่ในมุมของนักเศรษฐศาสตร์ แน่นอนว่าไม่ค่อยชอบเพราะ "ภาษี" คือรายได้ของรัฐบาล ซึ่งทุกวันนี้ยังขาดดุลงบประมาณถึงขั้นชัตดาวน์ทุกปีเพราะเงินไม่พอ ดังนั้นหากลดภาษีย่อมกระทบรายได้รัฐบาล ทางแก้คือ "การออกพันธบัตร" ทําให้อุปทานของพันธบัตรเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นชอบดอกเบี้ยขาลงไม่ชอบดอกเบี้ยขาขึ้น และหากดอกเบี้ยขาขึ้นไม่ดีต่อภาพระยะยาว
สวนทางกับนโยบาย "กมลา แฮร์ริส" ที่ต้องการ "ขึ้นภาษี จาก 21% เป็น 28%" แน่นอนว่าไม่ส่งผลดีต่อกําไรของบริษัทต่างๆ แต่ถือเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องจากสมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งคุณกมลา ต้องการขึ้นภาษีบริษัทขนาดใหญ่ และพยายามช่วยบริษัทขนาดเล็ก
"เรื่องภาษี ถือเป็นประเด็นแรกที่นักลงทุนเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด บทสรุปก็คือภาพระยะสั้นชอบแนวทางของทรัมป์มากกว่าเพราะเห็นผลกับบริษัทต่างๆในทันที"
อีกเรื่องที่หลายคนโฟกัส คือ "กําแพงภาษีนำเข้าสินค้า" ถือเป็นประเด็นที่สำคัญกับไทยอย่างมาก เนื่องด้วย "ทรัมป์" ค่อนข้างดุดันว่าจะขึ้นภาษีนําเข้าสินค้าจากจีน 60% โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า, เหล็ก , อลูมิเนียม เป็นต้น ส่วนประเทศอื่นๆมีแนวโน้มจะโดนภาษีราว 10%
แม้ทรัมป์จะอ้างว่าพยายามปกป้องอุตสาหกรรมของอเมริกา แต่อย่าลืมว่าสินค้าบางอย่างต้องนำเข้าอยู่ดี นั่นหมายความว่า หากขึ้นภาษีนําเข้าสินค้าจากจีน 60% และอเมริกาต้องใช้สินค้าดังกล่าว แปลว่าคนอเมริกันจะต้องซื้อสินค้าที่แพงขึ้น ปัญหาเงินเฟ้อที่เฟดพยายามกดให้ลดลงจะกลับมาสูงขึ้นอีก ส่วนในฝั่งของ "กมลา" ยังใช้นโยบายภาษีตามเดิมกับคู่ค้าต่างๆ แต่อาจจะมีเพิ่มบางจุดบางสินค้าเท่านั้น ไม่ได้ฉีกไปจากเดิมมากนัก
ดังนั้นประเทศไทยจึงควรโฟกัสเรื่องกำแพงภาษี เพราะจากสถิติกระทรวงพาณิชย์ ในปี 2566 ประเทศจีนคือคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย มูลค่าราว 100,000 ล้านเหรียญฯ สูงราว 40% เมื่อเทียบกับไทยค้าขายกับอเมริกา ประมาณ 70,000 ล้านเหรียญฯ นั่นหมายความว่า "เรื่องกำแพงภาษี ถ้าจีนเจ็บ ไทยก็เจ็บเหมือนกัน อยู่ที่ว่าจะเจ็บมาก หรือ เจ็บน้อย" ดังนั้นจึงต้องจับตาดูบทสรุปผลการเลือกตั้งสหรัฐฯที่คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงเช้าของวันที่ 6 พ.ย.67
แต่อย่าลืมว่าการเลือกตั้งรอบนี้มีการเลือกวุฒิสภา(สภาสูง)ใหม่อีก 34 เสียง ซึ่งเดิมเจ้าของตำแหน่งมาจากพรรคเดโมแครต 23 เสียง พรรครีพับลิกัน 11 เสียง สมมุติว่าหากเดโมแครตสามารถรักษาที่นั่งได้เท่าเดิม แปลว่าในสภาสูง พรรคเดโมแครตยังครองเสียงข้างมาก ด้วยคะแนน 51 ต่อ 49 และหากทรัมป์ชนะเลือกตั้งครองสภาล่างได้ แต่เดโมแครตยังรักษาสภาสูงไว้ได้ นั่นหมายความว่า ทรัมป์ไม่สามารถดําเนินนโยบายแบบสุดโต่งได้ ซึ่งหลายฝ่ายขอให้มีการคานอํานาจระหว่างสภาสูงกับสภาล่าง แม้ทรัมป์จะชนะก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้สภาสูงทางเดโมแครตชนะ
4 หุ้นหลบภัยน่าช้อป
กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย อาจต้องใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะเร่งให้เกิด "การย้ายฐานการผลิต" จากจีน , อเมริกา , ไต้หวันมาประเทศไทยเพิ่มขึ้น เห็นได้จากช่วงที่ผ่านมามีทั้ง กูเกิล, ไมโครซอฟท์, Nvidia สนใจมาลงทุนด้านดาต้าเซ็นเตอร์ ดังนั้นอุตสากรรมที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้งดังกล่าวและฝ่ายวิเคราะห์มองว่าเป็น "หลุมหลบภัย" ที่ดีสําหรับนักลงทุนที่กังวลเรื่องของความผันผวนการเลือกตั้งรอบนี้ ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสากรรม , โรงไฟฟ้า , น้ำประปา , สื่อสาร
อีกกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง แต่หากตลาดผันผวน กลุ่มนี้จะเหมาะกับการช้อนซื้อ นั่นก็คือ "กลุ่มบริโภค" ได้อานิสงส์จากเงินหมื่นบาทที่แจกให้กลุ่มเปราะบางในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน 2567 ขณะที่ยังมีมาตรการอื่นๆที่คาดว่าจะออกมากระตุ้น ทั้ง คนละครึ่ง, เราเที่ยวด้วยกัน, ช้อปดีมีคืน หรือ มาตรการอสังหาฯ เป็นต้น รวมถึง "กลุ่มซ่อมแซมบ้าน" ถือว่าน่าสนใจ หุ้นแนะนำ คือ AP ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท , BBIK ราคาเป้าหมาย 58.25 บาท , DOHOME ราคาเป้าหมาย 12 บาท และ SINGER ราคาเป้าหมาย 15 บาท
"อยากบอกนักลงทุนไทยว่าไม่ต้องกังวลมากนัก เพราะคีย์เวิร์ดที่เราต้องจํา คือ จีนเจ็บ เราเจ็บ แต่ถ้า "กมลา" มา เราเจ็บน้อยกว่า แต่ถ้า "ทรัมป์" มา ต้องไม่ลืมว่า "สภาสูง" ยังเป็นของพรรคเดโมแครต จึงไม่น่าจะเลวร้าย และในช่วงที่เกิดความกังวลนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อ เรามองกรอบดัชนีหุ้นไทย เดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ 1,430-1,520 จุด ถามว่าหากผลสรุปเลือกตั้งชัดเจนจะปรับประมาณการดัชนีหรือไม่ ผมคิดว่าน่าจะยังเพราะกว่าที่จะมีการสาบานตนรับตําแหน่งประธานาธิบดีน่าจะวันที่ 20 มกราคม 2568 ซึ่งทาง บล.ลิเบอเรเตอร์ยังคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้บวกลบ 1,500 จุด"
ถือเงินสด รอความชัดเจน
"ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" นักลงทุนหุ้นแบบเน้นคุณค่า (Value Investor หรือ VI) กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า ถือเป็นเรื่องที่ประเมินได้ยากมากว่าผลการเลือกตั้งสหรัฐฯนั้นจะออกมารูปแบบไหน และส่งผลกระทบอย่างไร เนื่องจากนโยบายที่แต่ละฝ่ายนำเสนอในช่วงการเลือกตั้งนั้นอาจไม่ถูกนำมาปฏิบัติจริง นั่นจึงยากที่จะคาดการณ์ถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากนโยบายต่างๆ
ทั้งนี้จากที่สังเกตการณ์ทราบเพียง "ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ย่อมเกิดสงครามการค้าต่อ" และมีการพูดกันว่าทรัมป์อาจจะดำเนินนโยบายที่รุนแรงกว่า แต่ไม่มีใครทราบชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ดังนั้นในฐานะนักลงทุนจึงต้องรอความชัดเจนหลังการเลือกตั้ง และไม่ควรตัดสินใจลงทุนโดยอิงจากความไม่แน่นอนในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อความมั่นใจในข้อมูลอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50% และช่วงรอความชัดเจนนั้นการถือเงินสดจึงสำคัญเพื่อรอจังหวะลงทุนที่เหมาะสมในอนาคต
"การลงทุนต้องการข้อมูลที่มีความมั่นใจอย่างน้อย 70-80% ขึ้นไป หากข้อมูลไม่ชัดเจนหรือมีความมั่นใจต่ำกว่า 50% จะไม่ใช้ในการตัดสินใจลงทุน ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้นักลงทุนรอดูความชัดเจนหลังการเลือกตั้งและไม่ควรตัดสินใจลงทุนในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง แต่หลังจากที่ทุกอย่างชัดเจนจึงจะนำมาประกอบการตัดสินใจ"
ดร.นิเวศน์ ย้ำอีกครั้งว่า "อนาคตต่อจากนี้มันไม่หมู หมายความว่าการลงทุนต่างๆ ตลาดหุ้นอาจจะผันผวนรุนแรงก็ได้ เราไม่รู้หรอกแต่มันก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เหมือนกัน เพราะไม่ว่าใครจะมาหรือไป มาตรการที่ออกมาย่อมทําลายระบบการค้าโลกในระดับหนึ่ง
ดังนั้นในช่วงนี้ควรถือเงินสด เหมือน "วอร์เรน บัฟเฟตต์" ที่ตอนนี้มีเงินสดมหาศาล เหมือนรอจังหวะหากเกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ตลาดหุ้นเขย่าแรง "บัฟเฟตต์"จะเป็นคนที่หัวเราะดังที่สุดเพราะถือเงินสดค่อนข้างเยอะ"
ทองคำย่อซื้อ ภาพใหญ่นิวไฮ
"ฐิภา นววัฒนทรัพย์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน เเอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" เช่นกันว่า ราคาทองคําในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงตามแรงขายทำกำไร หลังจากราคาทํา new high และมีลักษณะของการ Overbought คือ ซื้อมากเกินไป อาจจะมีการเทขายออกมาเพื่อรอผลการเลือกตั้ง
"ไม่ว่าฝั่ง "กมลา" หรือ "ทรัมป์"ชนะ มองว่าส่งผลบวกกับทองคําทุกด้าน แม้ล่าสุดทรัมป์มีนโยบายไม่สนับสนุนสงคราม เป็นข่าวที่อาจจะส่งผลลบกับราคาทองคํา แต่สุดท้ายแล้วหากทรัมป์ชนะเลือกตั้งครั้งนี้ยังเชื่อว่าจะส่งผลบวกต่อราคาทองคําระยะยาว อีกทั้งจากตัวเลข Wold Gold บ่งชี้ว่าหากทรัมป์ได้ขึ้นมาบริหารมีโอกาสจะใช้เงินงบประมาณมากกว่าฝั่งกมลาประมาณ 5 เท่าทําให้เงินของสหรัฐฯมีโอกาสติดลบเพิ่มขึ้น และจากสถิติของเวิลด์ โกลด์ในอดีตไม่ว่าจะเป็นพรรคเดโมแครต หรือ รีพับลิกันได้ จะทําให้ราคาทองคําสามารถเหวี่ยงขึ้นหรือลงได้ถึง 15%"
แต่ในระยะสั้น ก่อนประกาศผลเลือกตั้งในช่วงวันที่ 6-7พ.ย.67 น่าจะมีแรงเทขายทํากําไรทองคำออกมาก่อน แต่ภาพใหญ่ราคาทองคำยังปรับขึ้นต่อ จากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องคงเป็นปัจจัยหนุนสําคัญ
หลังจากที่ราคาทองคําขึ้นไปใกล้แตะ 2,750 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ แนวต้านถัดไปอยู่ที่ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งค่าเงินบาทช่วงนี้กลับมาอ่อนค่า ดังนั้นราคาทองไทยขึ้นไปมากกว่า 45,000 บาท และหากราคาทองคำอยู่แถว 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ราคาทองในไทยมีโอกาสแตะ 50,000 บาท
ส่วนแนวรับทองคํา อยู่ที่ 2,700 - 2,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ภาพใหญ่ของราคาทองคำยังเป็นขาขึ้น และเป็นสินทรัพย์ที่ต้องมีติดพอร์ตลงทุนราว 10-15% กลยุทธ์การลงทุนคือจังหวะย่อซื้ออย่างเดียว
"ภาพใหญ่ทองคำยังเป็นขาขึ้น ใครที่เก็บทองในโซนต่ำให้ถือยาว หรือถ้าจะขายทํากําไรระยะสั้น อยากบอกนักลงทุนว่า ทุกครั้งที่ทองคำทํานิวไฮจะต้องมีแรงเทขายออกมา ถ้ามองว่าอยากทํากำไรระยะสั้น ทุกครั้งที่นิวไฮขายแล้วรอจังหวะช้อนซื้อเข้ามาใหม่ แต่อย่าลืมว่าทองคําเป็นขาขึ้น อย่าขายออกมาก่อนเท่านั้น"
SECขับเคลื่อนคริปโทฯไม่ใช่รัฐบาล
ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ นอกจากนโยบายการตั้งกำแพงภาษีแบบขั้นสุด "โดนัลด์ ทรัมป์" ยังส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะ การประกาศลงทุน 1 ล้านบิตคอยน์เพื่อเป็นทุนสำรองเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นั่นหมายความว่า หาก "ทรัมป์" ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯอาจจะมีแรงอัดฉีดเข้ามาทำให้ตลาดคริปโทคึกคักก็เป็นได้ ซึ่งต่างจาก "กมลา" แม้จะมีนโยบายส่งเสริมคริปโทเช่นกันแต่ภาพยังไม่ชัดเจนมากนัก
"อัฏฐ์ ทองใหญ่ อัศวานันท์" ในฐานะประธาน สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (TDO) กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ถึงกรณีดังกล่าว ว่า ต้องยอมรับว่านโยบายสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัลของทั้งสองฝ่ายไม่มีผลต่อการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอย่างแท้จริง คือ นโยบายของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ(ก.ล.ต.สหรัฐ) หรือฝั่งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลมากกว่าฝั่งรัฐบาล
ส่วนนโยบายการผลักดันให้สหรัฐฯซื้อบิตคอยน์ จำนวน 1 ล้านบิตคอยน์นั้น อาจต้องรอดูความชัดเจนต่อไป เพราะต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจอเมริกาไม่ค่อยมีผลกระทบต่อคริปโทฯ และอย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่าผู้ที่ขับเคลื่อนสินทรัพย์ดิจิทัลก็คือ ก.ล.ต.สหรัฐฯ และ การใช้ของผู้ประกอบการมากกว่ารัฐบาล
ฟื้นเชื่อมั่น "สินทรัพย์ดิจิทัล" ตรวจเข้มเส้นทางธุรกรรม สกัด "ฟอกเงิน"
"หุ้นหลบภัย"เลือกแบบไหน?ได้หุ้นดียืนหนึ่งแบบ"ดร.นิเวศน์"