ตลท.ชี้เลือกตั้งสหรัฐชัดดึงฟันด์โฟลว์เข้า-เปิดทางต่างชาติระดมทุน
"อัสสเดช คงสิริ" ย้ำผลเลือกตั้งสหรัฐฯชัด ดึงฟันด์โฟลว์ไหลกลับ พร้อมเปิดบ้านรับต่างชาติเข้าระดมทุนภายใต้กฎเกณฑ์ตลาดหุ้นไทย "ศรพล ตุลยะเสถียร"มั่นใจมูลค่าการซื้อขายกลับมายืน 5-6 หมื่นล้านบาท
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงรอผลการเลือกตั้งสหรัฐชัดเจน แน่นอนว่าช่วงที่มีความผันผวนหรือมีความไม่แน่นอน โดยธรรมชาติก็คือ Risk off เห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury Yield) ที่วิ่งเข้าหาจุดที่เป็น Safe Zone และเมื่อการเลือกตั้งชัดเจนจะมี Risk on กลับมาแน่นอน นั่นหมายความว่ามูลค่าการซื้อในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะกลับมาได้ส่วนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจุดขายของตลาดหุ้นแต่ละประเทศ
"จุดขายตลาดหุ้นไทย" ก่อนอื่นตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นช้ากว่าตลาดอื่น ด้วยความที่ภาคท่องเที่ยวฟื้นตามจีน ค่าเงินบาทถ้าไม่แข็งเกินไปจะส่งอานิสงส์ช่วงปลายปี บวกกับหุ้นไทยต้องรอดูเอิร์นนิ่งไตรมาส 3/67 ถ้าดีขึ้นจะเป็นอีกหนึ่งจุดขาย และสุดท้ายกลุ่มเฮลท์และการท่องเที่ยว เรื่องความยั่งยืนคือจุดเด่นของหุ้นไทย
อย่างไรก็ดี หากมีการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทย ตลาดหุ้นก็จะทำการศึกษาว่าธุรกิจที่เข้ามาลงทุนมีซัพพลายเชนที่จะได้อานิสงส์ต่อการลงทุนนั้นหรือไม่ อย่าง ลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ต้องใช้พลังงานสะอาด ซึ่งต้องดูว่าบริษัทไหนจะได้ประโยชน์ และหากบริษัทต่างชาติสนใจเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นไทย ตลท.ยินดีพิจารณาแต่ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของตลาดหุ้นไทย
ตลาดทุนได้หารือกับภาครัฐว่าถ้ามาลงทุนเรียลเซกเตอร์หากต้องการระดมทุนอาจจะใช้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งเป็น Holding , ทรัสต์ , เข้าจดทะเบียน หรือ Project Finance เป็นต้น ซึ่ง ตลท. เตรียมแถลงแผนการดำเนินงานในช่วงปลายเดือน พ.ย.นี้
วอลุ่มแน่น-ย้ายฐานเข้าไทย
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวเช่นกันว่า ผลเลือกตั้งสหรัฐฯไม่ว่าตัวแทนจากพรรคไหนจะชนะย่อมสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นโลกในระยะสั้น และเมื่อประกาศผู้ชนะชัดเจนคาดว่าจะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายกลับมาแตะระดับ 50,000 - 60,000 ล้านบาทต่อวัน จากปัจจุบันวอลุ่มเพียง 30,000 - 40,000 ล้านบาท
ข้อดีหาก "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะเลือกตั้ง เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ข้อแรก คือ ด้วยความที่ "ทรัมป์" มี "นโยบายที่ชัดเจน" และทราบแนวทางการดําเนินงานในช่วงที่ดำรงตำแหน่งสมัยแรกจึงน่าจะอ่านเกมได้
ข้อ 2 คือ "โอกาสการย้ายฐานการผลิต" กรณีเก็บภาษีนําเข้าจากจีน 60% แต่เก็บจากประเทศอื่น 10% แปลว่าต้องไปผลิตจากประเทศอื่น ซึ่งถ้าไทยสามารถปรับตัวได้ทัน บวกกับตัวเลข BOI บ่งชี้ว่าจะมีการตั้งโรงงานมากขึ้น
และ ข้อ 3 คือ กรณีส่งเสริมพลังงานแบบเดิม ซึ่งประเทศไทยถ้าเทียบกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ตลาดหุ้นไทยค่อนข้าง Overweight หุ้นพลังงาน ซึ่งยังคงเป็นพลังงานดั้งเดิม
แต่การกลับมาของทรัมป์จะทำให้นักลงทุนกังวลต่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯเพิ่มขึ้นและธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)อาจชะลอการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่า ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปี 2567 วอลุ่มอาจชะลอจนกว่าภาพจะชัดว่าใครจะชนะ และโดยปกติวอลุ่มในเดือน ธ.ค. ค่อนข้างเงียบเพราะต่างชาติหยุดงาน ดังนั้นอาจต้องเลือกลงทุนหุ้นรายตัวหรือรายกลุ่ม บวกรอดู Earning ไตรมาส 3/2567 จะออกมาอย่างไร