เจาะเกมหุ้นร้อน "JAS" รู้ทัน "พิชญ์ โพธารามิก"
จับตา "พิชญ์ โพธารามิก" เดินเกมใหญ่ หลังคว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ใช้เงินลงทุนกว่า 19,000 ล้านบาท ลุ้นผนึกกำลังพันธมิตรรายใหญ่ เชี่ยวชาญด้านช่องทางการถ่ายทอดสดและการชำระเงินเสริมทัพแกร่ง
ชื่อเสียง "พิชญ์ โพธารามิก" จุดติดขึ้นมาอีกครั้ง ทันทีที่ "บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS" ประกาศคว้าสิทธิแต่เพียงผู้เดียว(Exclusivity right)ในการถ่ายทอดสดภาพและเสียงรายการฟุตบอล "พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ" รวมถึงชุดวิดีโอสั้น (Clip package) ในประเทศไทย , ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา มูลค่า 559,980,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 19,167,723,414 บาท โดยเป็นสิทธิในการถ่ายทอดสดภาพและเสียงรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพครอบคลุมระยะเวลา 6 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ต้นฤดูกาลฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่ 2025/26 หรือ 6 ฤดูกาล
ไม่ใช่ร้อนแค่ชื่อของ "พิชญ์" เท่านั้น แต่ดูเหมือน "ราคาหุ้น JAS" จะร้อนแรงยิ่งกว่า ด้วยราคาหุ้นนับตั้งแต่เข้าเดือน พ.ย.2567 ย่ำแถว 2.26 บาท ขึ้นชนด่าน 2.38 บาทไม่ไปไหน
แต่แล้วความเคลื่อนไหวในวันที่ 11 พ.ย.67 ราคาหุ้น JAS ปรับตัวเพิ่มขึ้นและขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 2.46 บาท เหมือนมีเรื่องดีๆรออยู่ก็ไม่ปาน ก่อนที่ราคาจะกลับมาปิดการซื้อขายที่ 2.38 บาท และในช่วงเย็นนั้นเองก็ได้ปรากฎความจริงที่ว่า "JAS คว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก"
ดูเหมือนข่าวดังกล่าวจะดีจริง เพราะในวันถัดมา(12 พ.ย.67) ราคาหุ้น JAS เปิดกระโดดขึ้นไปแตะระดับ 2.54 บาท เพิ่มขึ้น 0.16 บาททีเดียว จากนั้นไต่ขึ้นไปทดสอบราคาสูงสุด 2.58 บาท ก่อนจะกลับมาปิดเท่าเดิมที่ 2.38 บาทซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของวัน
ถามว่าหุ้น JAS วันนี้(13 พ.ย.67)เป็นอย่างไร แน่นอนว่ากลับมายืนฟอร์มสวย ระหว่างวันขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 2.50 บาทแม้จะย่อตัวลงมาเล็กน้อยแต่พยายามทรงตัวแถว 2.40 บาท ก่อนจะกลับมาปิดการซื้อขายที่ 2.44 บาท
คำถามคือ เกมราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร และดีลนี้จะสำเร็จหรือไม่ ? เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยปรากฎข่าวดี แต่สุดท้ายปลายทางอาจแปรเปลี่ยน ดังนั้นคงต้องจับตาดูการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 ในวันอังคาร ที่ 7 ม.ค. 2568 เพื่ออนุมัติการเข้าทำธุรกรรมลิขสิทธิ์ดังกล่าว
หากผู้ถือหุ้นไฟเขียว JAS นำเงินเกือบ 20,000 ล้านบาทจากไหนมาจ่ายลิขสิทธิ์ ?
นายจรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า มองว่าดีลนี้น่าจะไปได้สุดทาง เพราะ JAS น่าจะพิจารณามาอย่างดีแล้วจึงเข้าประมูล แม้ว่าการถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดพรีเมียร์ลีกส่วนใหญ่จะขาดทุน แต่จากการประเมิน JAS ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ 19,000 ล้านบาทสำหรับ 6 ฤดูกาล ต้นทุนต่อปีราว 2-3 พันล้านบาท หากมียอดคนดูพรีเมียร์ลีกแบบถูกกฎหมายราว 1.2 ล้านราย
นั่นหมายความว่าต้นทุนต่อรายราว 2,700 บาท หากเพิ่มกำไรเล็กน้อยอาจมีต้นทุนต่อรายอยู่ที่กว่า 3 พันบาท และหากกรณี JAS มีแพคเกจราว 400 บาทต่อคน ซึ่ง 1 ฤดูกาลฟุตบอลคือ 9 เดือน นี่คือ 3,600 ล้านบาท ถือเป็นแพคเกจที่สมเหตุผล ทำให้คนกลับเข้ามาดูพรีเมียร์ลีกแบบถูกกฎหมาย และหาก JAS สามารถเจาะตลาดในวงกว้างได้มากขึ้น โดยเฉพาะหากสามารถสร้างยอดคนดูแตะระดับ 2 ล้านรายได้นั่นจะช่วยให้ JAS ประสบความสำเร็จ
และด้วยคอนเท้นท์ที่น่าสนใจ เชื่อว่าหลายฝ่ายน่าจะพร้อมเข้ามาพูดคุยกับ JAS ไม่ว่าจะเป็นทีวีดิจิทัล หรือ AIS เป็นต้น เบื้องต้นสิ่งที่ JAS ต้องการ 2 ช่องทาง คือ "ช่องทางการถ่ายทอดสด และ ช่องทางการชำระเงิน การเก็บเงิน" หากได้พันธมิตรที่สนับสนุนทั้งสองเรื่องจะดีอย่างมาก
ทั้งนี้ JAS มีเงินสดในมือประมาณ 4,600 ล้านบาท หากต้องจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์เกือบ 2 หมื่นล้านบาท แม้ทยอยแบ่งจ่ายเป็นงวดๆได้แต่ถือว่าค่อนข้างหนัก ดังนั้นแนวทางที่อาจเป็นไปได้คือ JAS ได้รับการสนับสนุนจากแหล่งเงินทุนที่แข็งแกร่ง หรือ พันธมิตรที่เก่งเข้ามาร่วมทุน เป็นต้น
ราคาหุ้นไปไกลแค่ไหน ?
ด้วยราคาหุ้น JAS ปรับขึ้นมารับข่าว ดังนั้นในช่วงนี้คาดว่าราคาจะมีลักษณะการแกว่งออกด้านข้างไปเรื่อยๆ รอจนกว่าจะปลดล็อกคำถามที่ว่า JAS จะหาเงินจากไหน มีแพคเกจอย่างไร และแพลตฟอร์มไหนจะเข้ามาช่วย หากคำถามมีคำตอบที่ถูกใจตามที่คาดการณ์ไว้เชื่อว่าราคาน่าจะเริ่มปรับตัวได้
"ราคาหุ้นลอยขึ้นมารับข่าวไปแล้ว ดังนั้นนักลงทุนอาจรอดูความชัดเจนดีกว่า อย่าเข้าไปไล่ราคาเพราะเสียเปรียบมาก ขอให้นักลงทุนเล่นหุ้นด้วยความระมัดระวัง"
อาณาจักร "พิชญ์"
แท้จริงแล้วอาณาจักรของ "พิชญ์ โพธารามิก" ถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมในบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯและนอกตลาดมากมาย "โพสต์ทูเดย์" รวบรวมเฉพาะการถือหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งทางตรงและทางอ้อม อ้างอิงข้อมูลจาก SETSMART มีรายละเอียดดังนี้
หากลองคิดดูเล่นๆว่าหากวันนี้ "พิชญ์" ขายหุ้นที่ถือออกทั้งหมดจะได้เงินมากน้อยแค่ไหน คำตอบคือมากกว่า 10,000 ล้านบาท เลยทีเดียว!!