ทายาทกลุ่มพีทีจี "ปกเขตร รัชกิจประการ"เดินหน้า Maxbit ปี68 อัพฐานรายย่อย
"ปกเขตร รัชกิจประการ" ทายาทกลุ่ม PTG เดินเครื่องแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล "Maxbit" ปี 2568 ลุย "สร้างแบรนด์-เจาะฐานลูกค้ารายย่อย-เพิ่มตัวเลือกมากที่สุด" เสริมทัพความแกร่งในอนาคต
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
"ปกเขตร รัชกิจประการ" หนึ่งในทายาทธุรกิจตระกูลดัง "รัชกิจประการ" หลานรักของ "พิทักษ์ รัชกิจประการ" ซีอีโอ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG
ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่สนใจสินทรัพย์ดิจิทัล เห็นโอกาสการเติบโตในอนาคตจึงเสนอมุมมองแนวคิดพร้อมร่วมทุนกับ PTG เปิดแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล "บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด (Maxbit)" ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) โดย "ปกเขตร" นั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Maxbit
นับตั้งแต่ Maxbit เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อเดือน (CMGR) ที่ 36.11% และภายในเดือนพฤศจิกายน 2567 คาดว่ามูลค่าการซื้อขายจะมากกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2567 นี้ถือเป็นปีแห่งความสำเร็จของ Maxbit และเชื่อว่าจะสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
“ปีนี้ไม่ได้โตเพียงตัวเลขเท่านั้น แต่ด้วยเราให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าร่วมกับลูกค้าและให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง อีกทั้งเรายังได้สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลกและการพัฒนาที่มุ่งเน้นความต้องการของตลาดในประเทศไทยเป็นสำคัญ”
"ปกเขตร รัชกิจประการ" เล่าอีกว่า แผนการดำเนินงานในปี 2568 โฟกัส 3 เรื่อง คือ "ขยายฐานลูกค้ารายย่อย (Retail)" เพื่อทำให้แพลตฟอร์มครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้าทั้งนักลงทุนหน้าใหม่หรือผู้ที่มีประสบการณ์ในวงกว้างยิ่งขึ้น
เรื่องต่อมา คือ "สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง" เน้นการทำการตลาดมากขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้และดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ
และสุดท้าย คือ "เพิ่มจำนวนคู่เหรียญบนแพลตฟอร์ม" โดยเพิ่มจำนวนเหรียญที่สามารถซื้อขายได้ในแพลตฟอร์ม เพื่อให้มีตัวเลือกมากขึ้นสำหรับนักลงทุน โดยตั้งเป้าว่าจะเป็นกระดานเทรดที่มีจำนวนเหรียญมากที่สุดในประเทศไทย
แผนทั้งหมดนี้เพื่อให้ Maxbit สามารถแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงและดึงดูดผู้ใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของนักลงทุนรายย่อย สู่เป้าหมายสำคัญคือการยกระดับสถานะของบริษัทให้เป็นผู้นำในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย
“ปี 2568 เรามุ่งมั่นสร้างแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้ารายย่อยมากที่สุด การให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้ารายย่อยถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และเรามั่นใจว่านี่คือก้าวสำคัญที่จะทำให้ Maxbit กลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับนักลงทุนทุกกลุ่ม”
ตลาดเหรียญคริปโทฯในปี 2568 คาดมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าอัตราการซื้อขายของสินทรัพย์ดิจิตอลในไทยจะสามารถเบรคเอาท์ไปถึงระดับสูงสุดที่เคยมีมา ซึ่งเคยสูงถึง 80,000 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 20,000-50,000 ล้านบาทต่อเดือน
นั่นจึงเป็นโอกาสที่ Maxbit เตรียมความพร้อมทุกด้านรองรับตลาดที่เติบโต และยังคงมุ่งเน้นการลงทุนในระบบและการสร้างแบรนด์เพื่อดึงดูดนักลงทุนรายย่อยมากขึ้น