posttoday

เฟดลดดอกเบี้ย ลดแรงกดดันหุ้นแบงก์ จับตา “นโยบายทรัมป์” กระทบนโยบาย FOMC

19 ธันวาคม 2567

เฟดลดดอกเบี้ย ลดแรงกดดันหุ้นกลุ่มแบงก์ จับตา “นโยบายทรัมป์” กระทุ้งเงินเฟ้อพุ่ง กระทบการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยเฟด ส่วนกุล่มไมโครไฟแนนซ์ แรงกดดันเพิ่มขึ้นในระยะสั้น หลัง กนง. คงดอกเบี้ย และแนวโน้มดอกเบี้ยปีหน้าปรับลดน้อยลง

ตามที่วานนี้ (18 ธ.ค.) คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% ในการประชุมเดือน ธ.ค.2567 สู่ระดับ 4.25-4.50%

โดยการลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ หลังจากที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในเดือน ก.ย. เป็นครั้งแรกรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2563 และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในเดือน พ.ย. เป็นครั้งที่ 2 

ทั้งนี้ ตามข้อมูลของ Dot Plot ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ในปี 2568 จากเดิมที่ส่งสัญญาณในเดือน ก.ย. ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 1.00% ในปี 2568

นอกจากนี้ ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ในปี 2569 และลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2570

ขณะที่ปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 2567 เป็นเติบโต 2.5% จากส่งสัญญาณในเดือน ก.ย.2567 อยู่ที่ 2.0% 

ปี 2568 เพิ่มเป้าหมาย GDP เป็นเติบโต 2.1% จากส่งสัญญาณในเดือน ก.ย.2567 อยู่ที่ 2.0% ปี 2569 เติบโต 2.0% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเมื่อเดือน ก.ย.2567 

สำหรับปี 2570 ลดเป้าหมาย GDP เป็นเติบโต 1.9% จากส่งสัญญาณในเดือน ก.ย.2567 อยู่ที่ 2.0% และระยะยาวเติบโต 1.8% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเมื่อเดือน ก.ย.2567

ขณะเดียวกัน เฟดเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2567, 2568, 2569 และ 2570 มาอยู่ที่ระดับ 2.8%, 2.5%, 2.2% และ 2.0% ตามลำดับ จากคาดการณ์ในเดือน ก.ย.2567 อยู่ที่ระดับระดับ 2.6%, 2.2%, 2.0% และ 2.0% ตามลำดับ

มุมมองกูรูหลังเฟดส่งซิกลดดอกเบี้ยปี 68 เหลือ 2 ครั้ง

บล.พาย ระบุว่า เฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง น้อยกว่าในเดือน ก.ย. ที่คาดจะปรับลด 4 ครั้ง ซึ่งไม่ได้เป็นที่น่าแปลกใจ เพราะทั้งตลาดทุนและตลาดเงินได้ส่งสัญญาณบางส่วนไปก่อนหน้านี้แล้ว เช่น ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสหรัฐที่ทิศทางสูงขึ้นสวนทางกับระยะสั้นที่ลดลง และล่าสุด ผลตอบแทนสหรัฐระยะสั้น 3 เดือน อยู่ที่ 4.27% ต่ำกว่าผลตอบแทนระยะยาวกว่า 2 ปี, 10 ปี, 30 ปี ที่ 4.33%, 4.50%, 4.67% ตามลำดับ สะท้อน normal yield curve

ทั้งนี้ มองว่ายังมีโอกาสที่ในปี 2568 ไทยอาจปรับลดดอกเบี้ย ลงได้ 1 ครั้ง (base case) เพราะเศรษฐกิจไทยมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก เช่น การปรับขึ้นภาษีนำเข้าไปสหรัฐ, ปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ และการเมืองในประเทศ แต่การปรับลดดอกเบี้ยไทยอาจจะไม่เกิดขึ้นเร็วนัก ส่วนหนึ่งต้องติดตามดูผลกระทบจากนโยบาย Trump 2.0 หลัง Trump เข้ารับตำแหน่งเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค.2568 

อย่างไรก็ตาม มองว่าก็มีโอกาสที่ดอกเบี้ยไทยอาจจะไม่ลดลงเลยได้หากเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นสูงกว่าคาดมาก และโอกาสปรับลดลง 2 ครั้ง อาจเกิดขึ้นได้หากเศรษฐกิจไทยโตต่ำคาด แต่ก็อาจต้องแลกมาด้วยเงินบาทอ่อนค่า และเงินทุนไหลออก ดังนั้น ในปี 2568 มองว่าดอกเบี้ยไทยมีแนวโน้มปรับลดลง 0-2 ครั้ง เหลือ 1.75-2.25% สิ้นปี 2568 

ดังนั้น จากผลประชุมเฟดวานนี้ กลุ่มแบงก์ มีแรงกดดันลดลง และราคาหุันแบงก์ใหญ่ (BBL, KBANK, KTB, SCB) อาจปรับขึ้นได้ หรือผันผวนน้อยกว่า SET 

ขณะที่กลุ่มไมโครไฟแนนซ์ อาจมีแรงกดดันระยะสั้น หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ต่อปี ตามคาด และแนวโน้มดอกเบี้ยในปี 2568 ที่อาจลดลงน้อยกว่าตลาดคาดได้

บล.กรุงศรี ระบุผลประชุมเฟดตามคาด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ช่วง 4.25-4.5% โดย 3 ประเด็นสำคัญที่ยังสนับสนุนตลาดหุ้น คือ 1) คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยยังเป็นขาลง (SEP - Summary of Economic Projections) คือ คาดการณ์ลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2568 (ลดลงจากรอบที่แล้วคาดลด 4 ครั้ง) และจะลดอีก 2 ครั้งในปี 2569 ทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงเหลือ 3.4% ในปี 2569 

2) มุมมองเศรษฐกิจ 3 ปีข้างหน้า โตเฉลี่ย 2% บวกต่อตลาดหุ้น คือ คาด GDP Growth เติบโต 2.1% ในปี 2568 และ 2.0% ในปี 2569 และ 1.9% ในปี 2570 ส่วนตลาดแรงงานและอัตราการว่างงาน คาด 4.3% ในปี 2568 และคงที่ระดับเดิมจนถึงปี 2570 ส่วนเงินเฟ้อ (Core Inflation) คาดที่ 2.5% ในปีหน้าก่อนลดลงเหลือ 2.2% ในปี 2569 และ 2.0% ในปี 2570     

3) ปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายของ Donald Trump หากดำเนินนโยบายที่สัญญาไว้ เช่น ภาษีนำเข้าสูง, ลดภาษีบริษัท, และจำกัดการอพยพเข้าเมือง อาจกระตุ้นเงินเฟ้อสูงขึ้น และส่งผลต่อการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของเฟด

โดยรวม บล.กรุงศรี ประเมินจาก Dot Plot มองเป็น Uber Hawkish Cut ตามที่ MUFG คาดการณ์ไว้ ซึ่งมองว่าตลาดจะเกิดการเร่งขายทำกำไรในสินทรัพย์เสี่ยง โดยรวมกลยุทธ์เน้นหุ้น Defensive อาทิ ค้าปลีก, ขนส่ง และกลุ่มแบงก์