posttoday

TOP ยืนยันทุ่มงบโครงการ CFP อีก 6.3 หมื่นล้าน ไม่เพิ่มทุน-ไม่กระทบจ่ายปันผล

23 ธันวาคม 2567

"TOP" ยืนยันเพิ่มเงินลงทุนโครงการ CFP อีก 63,028 ล้านบาท จากแหล่ง "เงินสด-กระแสเงินสดในอนาคต-กู้เงิน"เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนและไม่กระทบจ่ายปันผล

KEY

POINTS

  • TOP เพิ่มเงินลงทุนโครงการ CFP อีก 63,028 ล้านบาท จากเงินสดคงเหลือ-กระแสเงินสดในอนาคต-กู้เงิน
  • ไทยออยล์ ยืนยันไม่เพิ่มทุน-ไม่กระทบจ่ายปันผล
  •  IRR ลดลงจาก 12% เหลือเพียง 7% ด้าน D/E ไม่เกิน 1 เท่า

นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กล่าวชี้แจงกรณีการเพิ่มงบลงทุนอีก 63,028 ล้านบาทในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) เพื่อใช้ในการก่อสร้าง ว่า เงินลงทุนส่วนเพิ่มดังกล่าว มาจาก 1. เงินสดคงเหลือปัจจุบัน 30,000 ล้านบาท และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในอนาคต(ปี 2568 - 2570)

และ 2. การออกหุ้นกู้ หรือการกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งพิจารณาหาเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เช่น การออกตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน , การบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด คิดเป็นมูลค่ารวม 1,000-1,500 ล้านดอลลาร์

"แหล่งเงินทุนทั้งกระแสเงินสดคงเหลือ, เงินสดจากการดำเนินงาน และการกู้ยืม เพียงพอต่อการก่อสร้างโครงการดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนและไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการจ่ายเงินปันผลอย่างมีนัยสำคัญ นโยบายยังคงจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 25% ของกำไรสุทธิของงบการเงิน ภายหลังจากการหักทุนสำรองต่างๆทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทและตามกฏหมาย"

ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่างบประมาณที่ขอเพิ่มเติมดังกล่าวนั้นเพียงพอต่อการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ โดยได้ศึกษาและประเมินร่วมกับที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้วยความระมัดระวังว่าสามารถดำเนินโครงการนี้ได้ตามงบประมาณที่วางไว้ โดยบริษัทจะบริหารจัดการงบประมาณให้ดีที่สุด อีกทั้งจากการศึกษาและประเมินของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ แม้ว่าอัตราผลตอบแทนการลงทุนระดับโครงการในปัจจุบันจะลดลงจากการประเมินในช่วงการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของกิจการ และเมื่อโครงการสำเร็จจะทำให้ไทยออยล์มีผลประกอบการรายได้ กำไร และฐานะทางการเงินดีขึ้น พร้อมเสริมศักยภาพการแข่งขันต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นในระยะยาว

การก่อสร้างโครงการ CFP ต้องเลื่อนออกไปกว่า 3 ปี แล้วเสร็จปี 2571 จากเดิมปี 2568 ผลจากการดำเนินงานขั้นตอนที่เหลือเป็นส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชื่อมต่อระบบของโครงการฯที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน ดังนั้นก่อนเปิดดำเนินการจึงต้องทำการทดสอบระบบจนกว่าจะมั่นใจว่าสามารถเปิดดำเนินการได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงการก่อสร้างหน่วยกลั่นใหม่ที่ทำหน้าที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยเปลี่ยนน้ำมันเตาและยางมะตอยให้เป็นน้ำมันอากาศยานและดีเซลไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด เนื่องจากปัญหาการหยุดงานของกลุ่มบริษัทรับเหมาช่วงอันเนื่องมาจากไม่ได้รับค่าจ้างค้างจ่ายจากผู้รับเหมาหลัก UJV ทำให้การดำเนินโครงการต้องสะดุดจนต้องปรับระยะเวลาดำเนินโครงการออกไป

"สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้บริษัทพยายามหาทางแก้ไขเพื่อให้การดำเนินงานกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดเพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปให้แล้วเสร็จ คาดว่าบริษัทจะสามารถสรุปเวลาให้แน่ชัดขึ้นในปี 68 โดยเบื้องต้นบริษัทจะรักษาสิทธิ์ตามสัญญากับผู้รับเหมาหลัก โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นความรับผิดชอบของผู้รับเหมาหลัก ซึ่งรวมถึงกรณีเรียกค่าเสียหายหากไม่สามารถส่งมอบงานได้ตามเวลาที่หนด ส่วนกรณีสิทธิการเปลี่ยนผู้รับเหมาหลักนั้น หากผู้รับเหมาไม่สามารถทำตามสัญญาได้ บริษัทจะเดินหน้ารักษาสิทธิ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจนได้ เพราะมีผลกระทบต่อสัญญาซึ่งบริษัทต้องเดินหน้าตามกระบวนการที่ปัจจุบันยังไม่ถึงกำหนดจะเปิดดำเนินการ (COD)ในช่วงต้นปี 68"

IRR วูบ

นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการเงินและบัญชี บมจ.ไทยออยล์ (TOP) กล่าวว่า การเพิ่มงบลงทุนในโครงการ CFP อาจทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ลดลง โดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระคาดว่ากรณีเงินลงทุนและดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้จะทำให้ IRR อยู่ที่ระดับ 7% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 12% ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนของกิจการ ขณะที่ อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับที่กำหนดไม่เกิน 1 เท่า

TOP ยืนยันทุ่มงบโครงการ CFP อีก 6.3 หมื่นล้าน ไม่เพิ่มทุน-ไม่กระทบจ่ายปันผล

บอร์ด TOP ทุ่มงบ 6.3 หมื่นล้าน เดินหน้าโครงการ CFP สร้างความมั่นคงด้านพลังงาน

บทพิสูจน์ "ไทยออยล์" ภายใต้มรสุมใหญ่โหมซัด

PTT พลิกเกมล่าท้าวิกฤติ เปิดรับพันธมิตรเสริมธุรกิจยกกลุ่ม

เปิดวิชั่น "ดร.คงกระพัน" ชูธุรกิจต้องดี-ขนาดใหญ่-มีจุดแข็ง สู่เป้า Net Zero