posttoday

ถอดกลยุทธ์รับมือตลาดหุ้นปี 68 เข้าสู่ภาวะ “ตลาดหมี” ยุคทรัมป์ 2.0

02 มกราคม 2568

เจาะกลยุทธ์รับมือตลาดหุ้นทั่วโลกปี 68 เข้าสู่ภาวะ “ตลาดหมี” ในยุค “ทรัมป์ 2.0” ตลาดหุ้นไทยฟุบน้อยกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ แต่ไม่ฟื้น เผชิญข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี แนะเล่นสั้น เน้นหุ้นใหญ่

KEY

POINTS

  • เจาะกลยุทธ์รับมือตลาดหุ้นทั่วโลกปี 68 เข้าสู่ “ตลาดหมี” ในยุค “ทรัมป์ 2.0”
  • กูรู ประเมินตลาดหุ้นไทยฟุบน้อยกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ แต่ไม่ฟื้น เผชิญข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี แนะเล่นสั้น เน้นหุ้นใหญ่     

ดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2567 ปิดวันทำการสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2567 ที่ระดับ 1,400.21 จุด ปรับลดลง 15.64 จุด หรือปรับลดลง 1.10% จากสิ้นปี 2566 ที่ระดับ 1,415.85 จุด 

ดังนั้น “โพสต์ทูเดย์” จะพาไปดูมุมมองของ 3 นักวิเคราะห์ ที่มีต่อแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2568 จะเป็นไปในทิศทางใดในยุคที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” เข้ามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ 

“สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินภาพการลงทุนในปี 2568 ในยุคทรัมป์ 2.0 จะมีความผันผวนสูง ผลตอบแทนต่ำ โดยมองปี 2568 ข่าวสารจะเพิ่มขึ้นมาก แต่จะสามารถคาดการณ์ได้ยากขึ้น ทำให้ตลาดผันผวน และไทยมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน มีความเสี่ยงข่าวร้ายมากกว่าข่าวดีในช่วงแรก จากนั้นข่าวดีเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะตามมาเรื่อยๆ

“ประเมินปี 68 ตลาดหุ้นผันผวน โดยเฉพาะเอเชีย เพราะดอลลาร์แข็งค่า บอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น จีนชะลอตัว ส่วนตลาดหุ้นไทย มองว่าจะฟื้นตัวแต่ไม่แรง และ 4 ปีข้างหน้า อาจต้องรับมือกับตลาดหุ้นไทยที่ไม่ไปไหน” 

ทั้งนี้ มองว่ากลยุทธ์เก็งกำไรเหมาะกับตลาดหุ้นไทยปี 2568 มากกว่าถือยาว เนื่องจากตลาดมีความผันผวนเพิ่มขึ้น อัพไซด์หุ้นไทยค่อนข้างน้อยไม่ถึง 10% ขณะที่หุ้นโลก ประมาณ 10-15% ประกอบกับการเติบโตของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยในปี 2568 คาดโต 10-15% ทำให้ตลาดหุ้นไทยโตไม่มาก ดังนั้นการลงทุนระยะยาว ต้องเลือกเป็นรายบริษัท

นอกจากนี้ ปี 2568 มองหุ้นใหญ่ดีกว่าหุ้นเล็ก เพราะมีผลประกอบการดี มีเสถียรภาพมากกว่าหุ้นเล็ก มีกองทุนรอซื้อเมื่อหุ้นปรับตัวลง และมีฐานะการเงินมั่นคง ส่วนหุ้นเล็กต้องเป็นหุ้นที่ดีจริงๆ มีนวัตกรรม เป็น Niche Market และเติบโตได้ต่อเนื่อง เช่น หุ้นท่องเที่ยว บริการ ค้าปลีก

สำหรับหุ้นแนะนำ 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. Value Stock (CPALL, BBL) 2. Laggard (HMPRO, BCH) 3. หุ้นปันผล (LHHOTEL, BCP) 4. Mid Small Cap (AMATA, AU)

“ภาดล วรรณรัตน์” รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่าปี 2568 ข่าวร้ายจะมากกว่าข่าวดี โดยข่าวดี คือ ปีหน้าเป็นปีแรกที่รัฐบาลบริหาาประเทศเต็มปี, สงความคลายความตึงเครียด ส่วนข่าวร้าย ยุคทรัมป์ 2.0 มีสงครามการค้าเพิ่มขึ้น ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ดอกเบี้ยลดลงช้ากว่าคาด ขณะที่สหรัฐมีหนี้สูง มีโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเกิด Hard Landing ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง นักลงทุนต้องระมัดระวังมากขึ้น 

โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยปี 2568 จะฟุบน้อยกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ แต่ไม่ฟื้น ขณะที่มองภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกปี 2568 เป็น Bear Market เพราะในเชิง Valuation ตอนนี้เกือบทุกตลาดแพงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ถ้ามีสงครามการค้ามากระตุ้น ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกทรงตัวหรือปรับตัวลง และ Earning Yield Gap 10 ปี ทั่วโลกอยู่ในโซนต่ำ แสดงว่าหุ้นแพง 

ด้านกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นปี 2568 มองว่าเป็นปีของการเล่นสั้น ถ้าเล่นยาวอาจจะติดดอยได้ เพราะเป็น Bear Market ทั่วโลก โดยแนะนำ หุ้นทรัมป์เทรด คือ กลุ่มที่มีบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ (IVL, BCPG, BANPU) หุ้นบิตคอยน์ (TTA) หุ้นกลุ่มควบรวมกิจการ (ADVANC, INTUCH, GULF, THCOM) หุ้นได้ประโยชน์จากงานประมูลภาครัฐ (VGI, BTS, SAMART)

ขณะเดียวกัน ปี 2568 มองว่าหุ้นใหญ่ดีกว่าหุ้นเล็ก เพราะมีสภาพคล่อง ทนทานต่อเศรษฐกิจ นักลงทุนสถาบันในและต่างประเทศยังเป็นผู้ขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยในปีหน้า ทำให้หุ้นใหญ่ Outperform ส่วนหุ้นเล็ก แนะนำหลีกเลี่ยงจนกว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวลงมากกว่าปัจจุบัน และเตือนระวังจีนโต้กลับสหรัฐ ด้วยนโยบายเงินหยวนอ่อนค่า ทำให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทย กระทบบริษัทเล็ก SME

ส่วนหุ้นเด่นสำหรับเล่นยาวปี 2568 แบ่งเป็น 4 ธีม 1. ดาต้าเซ็นเตอร์ (SYMC, BGRIM, GULF, GPSC) 2. เฮลธ์แคร์ (TMAN) 3. ดอกเบี้ยขาลง (ไฟแนนซ์) 4. หุ้นได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวลง (TASCO, CPALL, CPAXT) นอกจากนี้ กอง REIT และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ (LHHOTEL, CPNREIT, 3BBIF)

“กวี ชูกิจเกษม” Chief Portfolio Advisory บล.พาย ระบุว่า ปี 2568 ข่าวดีเหมือนจะไม่มี ขณะที่ข่าวร้าย เมื่อทรัมป์ขึ้นภาษีจีน จะทำให้จีนอัดกลับแน่นอน ส่งผลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้เศรษฐกิจไทยโตไม่ถึง 3% กำไร บจ. มีโอกาสปรับตัวลง ปัจจัยเหล่านี้ คือ ความเสี่ยงที่ต้องรับมือบน P/E ตลาดหุ้นไทยปี 2568 ที่ 17 เท่า ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในเอเชีย 

ทั้งนี้ ประเมินปี 2568 ตลาดหุ้นไทยฟุบมากกว่าฟื้น แต่ฟุบน้อยกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ มองกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทย 1,200-1,500 จุด เนื่องจากสภาพคล่องของนักลงทุนในประเทศ, วายุภักษ์, ESG และ บจ. ยังคงสูงอยู่ รวมทั้งสภาพคล่องของเงินสำรองระหว่างประเทศของไทยยังคงดีอยู่ ดังนั้นช่วงดัชนี 1,200 จุด เป็นโอกาสสะสมหุ้นไทยในราคาที่ไม่แพงเกินไป 

สำหรับปี 2568 แนะกลยุทธ์ระยะยาว เชื่อว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวลง จากการเกิด Recession ปรับฐานรุนแรง และราคาทองคำปรับขึ้นเป็นสัญญาณปิดรอบของตลาดหุ้นโลก หลังจากที่ทำนิวไฮต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลงแต่น้อยกว่าตลาดหุ้นโลก ถือเป็นจังหวะสะสมหุ้นสำหรับนักลงทุนระยะยาว ส่วนกลยุทธ์ระยะสั้น เก็งกำไรได้ เพราะปลายปีหุ้นมักจะดี ต้นปีมักจะมีความหวัง แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง และต้องมีจุด Stop Loss อยู่เสมอ 

“ไทยหาหุ้นเล็กยากมาก ระวังหุ้นกลางและหุ้นเล็กกับเศรษฐกิจไทยที่โตเพียง 3% และในช่วงตลาดผันผวน นักลงทุนจะเลือกหุ้นที่มีความมั่นคงยั่งยืน มีปันผล รวมทั้งการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เป็นนโยบายที่ฆ่า SME แต่สนับสนุนบริษัทขนาดใหญ่ให้เติบโตขึ้น ดังนั้นเชื่อว่าในระยะ 5-10 ปีจากนี้ หุ้นใหญ่ยังชนะหุ้นเล็ก” 

หุ้นเด่น มองเป็นกลุ่ม S-Curve ใหม่ของไทยจะเติบโตแซงหน้าเศรษฐกิจได้ในระยะจากนี้ คือ Logistics Hub (WHA) Green Energy (BGRIM, GPSC) Data Cloud (ADVANC) ส่วน กลุ่ม S-Curve เก่า คือ Tourism Hub (CENTEL, CPN, AOT, CPALL) Medical Hub (BDMS)