posttoday

บวกยกแผง! GULF กอดคอหุ้นโรงไฟฟ้าราคาพุ่ง โบรกเห็นพ้องลดค่าไฟ 3.70บ.เกิดยาก

07 มกราคม 2568

ราคาหุ้นโรงไฟฟ้าพลิกกลับมาบวกยกแผง หลังร่วงแรงรับข่าวหั่นค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาท ด้าน 4 โบรกเกอร์เห็นพ้องลดค่าไฟฟ้าเกิดยาก ผลกระทบรอบด้าน หากเกิดจริงกดดันกำไร GPSC - BGRIM หนักสุด

KEY

POINTS

  • ราคาหุ้นโรงไฟฟ้าพลิกกลับมาบวกยกแผง หลังร่วงแรงรับข่าวหั่นค่าไฟฟ้าเหลือ  3.70 บาท
  • 4 โบรกเกอร์เห็นพ้องลดค่าไฟฟ้าเกิดยาก ผลกระทบรอบด้าน หากเกิดจริงกดดันกำไร GPSC - BGRIM หนักสุด

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าพลิกกลับมาเป็นบวกในเช้าวันนี้(7 ม.ค.68) นำโดยหุ้นของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF , บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM หลังราคาร่วงแรงวานนี้รับข่าวอดีตนายกรัฐมนตรี "ทักษิณ ชินวัตร" ให้สัมภาษณ์หลังการปราศรัยหาเสียงการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

โดยประกาศลดค่าไฟให้เหลือหน่วยละ 3.70 บาท เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2568 จากราคาปัจจุบันค่าไฟฟ้างวดเดือนม.ค.-เม.ย.2568 อยู่ที่หน่วยละ 4.15 บาท อีกทั้งได้หารือกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อหาทางช่วยกัน โดยเห็นว่ารีดไขมันเพื่อลดค่าไฟฟ้าได้อีก โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พิจารณาแล้ว และจะเรียกหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน เพื่อให้ทุกคนเต็มใจยอมรับการรีดไขมัน

ด้านแหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า ค่าไฟฟ้าปัจจุบันอยู่ที่หน่วยละ 4.15 บาท หากจะทำให้ค่าไฟฟ้าลงมาอยู่ที่ 3.70 บาท จะต้องลดค่าไฟฟ้าลง 0.45 บาท โดยมีแนวทางดำเนินการคือ

1.ไม่ต่อสัญญาซื้อขายไฟ Adder ปี 2568 ที่จะหมดสัญญาของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก เช่น บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ที่จะทยอยหมดอายุนั้นในโครงการ Solar ลำปาง กำลังการผลิต 90 เมกะวัตต์ จะช่วยลดค่าไฟลง 15-20 สตางค์ต่อหน่วย จะเหลือค่าไฟราว 3.90 บาทต่อหน่วย แต่ภาครัฐต้องนำต้นทุนที่แบกรับมาในอดีตไปเก็บไว้ก่อน

2. ขยายเวลาการจ่ายคืนค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระไว้คงเหลือ 80,000 ล้านบาท

3.ขยายเวลาชำระเงินค่าก๊าซให้ กฟผ.และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ออกไปอีก 

4.ขอให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) และ SPP ลดกำไร ซึ่งข้อนี้อาจจะยากเพราะ IPP มีต้นทุนจากการกู้เงินระยะยาวสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงให้ประเทศ ในขณะที่ SPP อาจจะลดได้แต่จะกระทบโรงงานอุตสาหกรรม เพราะขายไฟถูกกว่าการไฟฟ้า ซึ่งโรงไฟฟ้า SPP ในนิคมอุตสาหกรรมจะกระทบเป็นลูกโซ่ หากจะไปยำให้ลดตรงนี้ก็ลดได้ราว 5 สตางค์ต่อหน่วย

"นโยบายลดค่าไฟฟ้าในความเป็นจริงคงต้องพิจารณาสถานการณ์ในหลายองค์ประกอบ เช่น ราคาก๊าซฯ หรือแนวทางการบริหารต้นทุนในแต่ละบริษัท เป็นต้น หากภาครัฐหาแนวทางลดค่าไฟด้วยการปรับลดราคาก๊าซลงได้ ส่วนที่เป็นการลดลงของราคาก๊าซฯไม่น่าจะกระทบต่อมาร์จิ้นผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า SPP อย่างมีนัยฯ หรือหากเป็นกรณีช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300หน่วย เหมือนที่เคยมีนโยบายในช่วงก่อนหน้า บล.เอเซียพลัสคาดผู้ประกอบการSPPจะไม่ได้รับผลกระทบเช่นกันและหากปรับปรุงตัวแปรอื่นๆในโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐานอาจต้องพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งฝ่ายที่มีโอกาสได้รับผลกระทบจะเป็นไปได้ทั้งฝั่งภาครัฐฯ, กฟผ.และเอกชน ถือเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม ช่วงสั้นถือเป็นSENTIMENTเชิงลบกดดันต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า จากความไม่ชัดเจนของแนวทางภาครัฐฯในปัจจุบัน"

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ระบุอีกว่า หากพิจารณาโครงสร้างค่าไฟฟ้าปัจจุบันที่มีการเรียกเก็บ ราว 4.15 บาท/หน่วย พบว่ามีต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่าย ADDER อยู่ราว 0.15 บาท/หน่วย ดังนั้น กรณีไม่ต่อซื้อขายไฟ ADDER ปี 2568 ที่จะหมดอายุ ฝ่ายวิจัยมองว่าจะสามารถลดค่าไฟลงได้สูงสุด 0.15 บาท/หน่วย แต่เชื่อว่าสัญญา ADDER จะไม่ได้หมดอายุพร้อมกันทุกโครงการในปี 2568 จึงคาดต้นทุนค่าไฟฟ้าจากส่วนนี้จะค่อยๆทยอยปรับตัวลดลงตามลำดับ

ส่วนค่าภาระหนี้คงค้าง กฟผ. ปัจจุบันมีการเรียกเก็บที่สัดส่วนราว 0.20 บาท/หน่วย และยังไม่มีการเรียกเก็บต้นทุนก๊าซฯคงค้างคืนให้แก่ ปตท. ดังนั้นแม้จะไม่มีการเก็บเงินชดเชยคืนหนี้ดังกล่าว คาดจะทำให้ค่าไฟลดลงจากงวดปัจจุบันที่ 4.15 บาท มาอยู่เพียง 3.95 บาท/หน่วย ซึ่งก็ยังไม่ถึงระดับ 3.70 บาท/หน่วย

ดังนั้นการหาแนวทางปรับโครงสร้างค่าไฟอาจจะต้องรอพิจารณาอีกครั้งว่ารัฐบาลจะพิจารณาปรับจากส่วนไหน เบื้องต้นกรณีที่เลวร้ายสุดหากลดค่าไฟฟ้าลง 0.45 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบัน 4.15 บาท/หน่วย มาอยู่ที่ 3.70 บาท/หน่วย โดยกำหนดให้สมมติฐานให้ค่าไฟฟ้าฐาน และต้นทุนก๊าซฯธรรมชาติคงที่ คาดจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า SPP อาทิ BGRIM , GPSC และ GULF ให้กำไรลดลงราว ราว 1.8 พันล้านบาท, 630 ล้านบาท, และ 600 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนกำไรปกติทั้งปี 68 ที่ 30%, 27% และ 3% ตามลำดับ

 

ฉุดกำไร GPSC-BGRIM

บล.กสิกรไทย ระบุว่า กลุ่มที่ได้ผลกระทบเชิงลบคือ Utilities -4.3% และ Industrial Estate -2% โดยฝ่ายวิเคราะห์คาด GPSC และ BGRIM จะได้รับผลกระทบต่อกำไรในปี 68 ราว -18% และ -17% ตามลำดับ โดยค่าไฟในงวด ม.ค.-เม.ย อยู่ที่ 4.15 บาท/หน่วย ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์คาดหากนโยบายนี้จะมีผลประกาศใช้ในเดือน พ.ค. เป็นต้นไป นอกจากนี้คาดตลาดยังคงผันผวนและมีปัจจัยกดดันจากเม็ดเงินไหลออกจาก LTF ที่ครบกําหนดในปีนี้

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ประเมินกรณีค่าไฟฟ้าลดลงเป็น 3.5 บาท/หน่วย พบว่า กำไรหลักของ GPSC จะลด -93% หรือลด 4.9 พันล้านบาทต่อปี จากคาดการณ์กำไรหลักปี 68 ที่ 5.25 พันล้านบาท ส่วน BGRIM กำไรหลักจะลด -97% หรือลด 3.04 พันล้านบาทต่อปี จากคาดการณ์ปี 68 ที่ 3.14 พันล้านบาท แต่คาดว่าการลดอัตราค่าไฟฟ้าเป็น 3.5-3.7 บาท/หน่วย ไม่ใช่เรื่องง่ายและทำได้อย่างรวดเร็ว

 

GULF กระทบน้อย

บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า หากข่าวนี้กลายเป็นนโยบายของรัฐบาลจริงจะกระทบต่อ GPSC และ BGRIM ที่เป็นโรงไฟฟ้า SPP รวมถึง GULF บางส่วน ซึ่งจากการวิเคราะห์ Sensitivity ของค่า Ft ต่อกำไรทั้งปีของ GPSC พบว่า หากค่า Ft ปรับขึ้นลง 1 สตางค์/หน่วย จะทำให้กำไรต่อปีเพิ่มขึ้นหรือลดลง 50 ล้านบาท ดังนั้นหากต้องลดถึง 45 สตางค์/หน่วย จะทำให้กำไรของ GSPC ลดลงราว 42% ของกำไรทั้งปี 2025 ส่วน BGRIM น่าจะได้รับผลกระทบใกล้เคียงกับ GPSC สำหรับ GULF ได้รับผลกระทบเล็กน้อย

ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าการปรับลดค่าไฟฟ้าทำได้ไม่ง่ายเพราะรัฐบาลต้องนำเงินมาอุดหนุนเพิ่มอีกมาก จากปัจจุบันที่ใช้เงินอุดหนุนอยู่เกือบ 8-9 หมื่นล้านบาทสำหรับผลกระทบต่อ GPSC , BGRIM และ GULF จะยังเป็นเพียง sentiment เชิงลบช่วงสั้น และเชื่อว่าราคาหุ้นน่าจะยัง Overhang จนกว่าจะเห็นนโนบายจากทางภาครัฐ

 

GULF - GPSC - BGRIM ร่วงหนัก หลัง 'ทักษิณ' จ่อหั่นค่าไฟเหลือ 3.70 บาท

"ปฏิรูปภาษีไทย" โอกาส หรือ ความเสี่ยง ? หุ้นไทย  

ผู้ประกอบการไทยเตรียมรับมือภาษีทุกมิติ หลังไทยเป็นสมาชิก OECD

ที่สุดแห่งปี67! หุ้นมาร์เก็ตแคปสูงสุด-ราคาพุ่งทะลุ 100%

สรุปหุ้นไทยปี67 ร่วง -1.10% มาร์เก็ตแคป 17.4 ล้านล้าน ผ่าเกม 2025 ฟื้น ?