
หุ้นไทยไม่ Lost Decade! ตลท.เร่ง "Jump+"ฟื้นเสน่ห์ ดึงฟันด์โฟลว์ไหลเข้า
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เดินทางเข้าสู่ปีที่ 50 ตลอดเส้นทางการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยเผชิญความท้าทายหลายวิกฤติ แต่ดูเหมือนตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบันตลาดหุ้นไทยกลับถูกยกให้เป็น Lost Decade หรือ ทศวรรษที่หายไป อาจเพราะเศรษฐกิจเติบโตช้า เกิดเหตุหุ้นปั่นหุ้นโกงทำเชื่อมั่นหดหาย ผลตอบแทนการลงทุนลดลงต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติเทขาย นักลงทุนไทยถอดใจหันไปลงทุนหุ้นต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
แต่นี่อาจจะเร็วไปหรือไม่ที่จะมองว่า.. หุ้นไทยหายไป ไร้อนาคตและไม่สามารถฟื้นกลับมาได้
"ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร" รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและโครงการกลยุทธ์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้สัมภาษณ์กับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า ตลาดหุ้นไทยไม่ได้หายไปไหน สภาพคล่องไทยถือว่าไม่แย่ และอีก 10 ปีข้างหน้าไม่หายไปเช่นกัน เพียงแต่อาจต้องโฟกัสที่ขุดแข็งของตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น
นับตั้งแต่เปิดตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่าตลาดหุ้นจะสามารถเพอร์ฟอร์มได้หรือไม่นั้นมักเป็นไปตามรอบของเศรษฐกิจ และหากพิจารณาจากจำนวนบริษัทที่เข้ามาไอพีโอมีความจำเป็นต้องการระดมทุนค่อนข้างมาก อย่างในช่วงโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard Development Program: ESB) จะเห็นว่ามีบริษัทเข้ามาระดมทุนจำนวนมาก หรือ บริษัทที่เตรียมขยายการลงทุนในต่างประเทศสนใจเข้ามาระดมทุนอย่างมากเช่นกัน
ตลอด 5 ทศวรรษ มูลค่าระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง สูงที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าการระดมทุนรวมกว่า 2.64 ล้านล้านบาท และมีบริษัทจดทะเบียน IPO รวมกว่า 347 บริษัท หลากหลายขนาดจากหลายอุตสาหกรรม มาร์เก็ตแคปส์ ปี 2024 แตะระดับ 17.4 ล้านล้านบาท เติบโต 25.82% จากสิ้นปี 2014 ที่ 13.8 ล้านล้านบาท
นั่นหมายความว่า "เสน่ห์ของตลาดหุ้นไทย" มีการพัฒนาดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเสน่ห์หลักของตลาดรอง เรื่องแรก คือ "สภาพคล่อง" คนที่อยากขายต้องมีคนซื้อ คนที่อยากซื้อต้องมีคนขาย ซึ่งตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทย มีสภาพคล่องสูงสุดใน ASEAN ต่อเนื่อง ซึ่งในพ.ศ.2564 เคยมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงที่สุดแตะระดับ 93,846 ล้านบาท ก่อนที่จะกลับเข้าใกล้เคียงระดับ 40,000-50,000 ล้านบาท
สาเหตุที่ทำให้ "สภาพคล่อง" เพิ่มขึ้นนั้น เกิดจากความหลากหลายของนักลงทุน ซึ่งในอดีตสัดส่วนของ "นักลงทุนรายย่อย" มีจำนวนเพียง 2-3 ล้านบัญชีเท่านั้น แต่ในปัจจุบันแตะระดับ 6-7 ล้านบัญชี ขณะที่ "กลุ่มนักลงทุนต่างชาติ" ตลาดใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการซื้อขาย ถือเป็นประเทศแรกที่มีออนไลน์เทรดดิ้ง ปัจจุบันเริ่มเห็นสัดส่วนของนักลงทุนต่างประเทศใกล้เคียงกับนักลงทุนรายย่อยและสถาบันในประเทศรวมกัน
"ในปี 2018 นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยในสัดส่วนราว 30.93% เมื่อเทียบกับ market cap. ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขในเดือนสิงหาคม 2024 ที่มีการถือครองหุ้นอยู่ที่ 30.80%"
ในเรื่องของความหลากหลายของ "บริษัทจดทะเบียน" คงต้องยอมรับว่าบริษัทจดทะเบียนอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงเร็ว แต่จะมองว่าไม่เปลี่ยนแปลงเลยก็คงไม่ใช่ เนื่องด้วยบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนใหม่นั้นเป็นแบบไทย ไม่ใช่แนวเทคโนโลยีเหมือนในต่างประเทศ
แต่สิ่งที่อยากไฮไลท์ คือ "กลุ่ม Healthcare" ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลและการดูแลสุขภาพ ครอบคลุมในธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้สูงวัย ทั้ง Health , Wellness การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึง Wealth management การบริหารความมั่งคั่ง ซึ่ง 3 ตัวนี้ค่อนข้างมีเรียลดีมานด์
รู้หรือไม่! ตลาดหุ้นไทยมี "กลุ่ม Healthcare" มากที่สุดและ ROE สูงที่สุดในอาเซียน
"แม้ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยอาจดูต่ำในช่วงที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับการลงทุนในต่างประเทศซึ่งมีบริษัทเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ แต่หลายบริษัทในตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และหลายอุตสาหกรรมยังคงเติบโตได้ดี เช่น การท่องเที่ยวและสุขภาพ รวมถึงการศึกษาการพัฒนา Regional Listing Hub โดยเฉพาะในกลุ่ม Healthcare, Medical Supply Chain ซึ่งไทยเป็นเบอร์หนึ่งใน ASEAN"
นอกจากนี้ "กลุ่ม FOOD" ถือว่าน่าสนใจเช่นกัน ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีธุรกิจอาหารที่เกี่ยวกับโปรตีนจากพืช , โปรตีนจากจิ้งหรีด หรือพวกอาหารที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นต้น และอีกกลุ่มที่ขาดไม่ได้คือ "Tourism"
ในเรื่องของการเป็น International Marketplace ตลาดพัฒนาตราสารที่เชื่อมโยงการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วง 1-2 ปีนี้จากกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ที่สนใจหุ้นโกลบอล คือ "DR และ DRx" ในปี 2024 มี DR จำนวน 50 หลักทรัพย์ และ DRx จำนวน 19 หลักทรัพย์
เปิดภารกิจ "ทำทันที"
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียม 4 กลยุทธ์เรือธง คือ "โครงการ Jump+ (จั๊มพ์ พลัส)" หัวใจสำคัญคือต้องการยกระดับบริษัทจดทะเบียน ทั้งในเรื่องของ Good Governance และ Good Performance โดยมุ่งเพิ่มมูลค่ากำไรอย่างยั่งยืนด้วยการสนับสนุนด้าน ESG , AI, การให้คำปรึกษา และการสื่อสารกับผู้ลงทุน โดยเฉพาะต่างประเทศได้เข้าถึงข้อมูล พร้อมทั้งเตรียมดัชนีสะท้อนผลการดำเนินงานของบริษัทที่ประสบความสำเร็จ และส่งเสริมการควบรวมกิจการ (M&A) เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว
"หวังให้คนที่เข้ามาในโครงการ Jump+ มาแล้วทำจริง ผมไม่ได้คาดหวังเรื่องจำนวนว่ากี่บริษัท แต่ขอให้มาทำจริง ตรงนี้เป็นประโยชน์ต่อตลาดทุน ช่วยในเรื่องของความเชื่อมั่นส่วนหนึ่ง คือ เรื่องความเชื่อมั่น ไม่เฉพาะแค่การตามจับเพียงอย่างเดียว แต่ต้องช่วยบริษัทพัฒนาในเรื่องของ Value ให้กับนักลงทุนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ต้องทำควบคู่กันไป"
ต่อมาคือ "โครงการ Regional Listing Hub" เป้าประสงค์หลักคือบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะในกลุ่ม Healthcare, Medical Supply Chain หรือ R&D ซึ่งไทยเป็นผู้นำใน ASEAN1 ในอนาคตอาจสนใจเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดต้องมีการโปรโมทและเดินหน้าเรื่องนี้ เพราะหากทำได้จริงถือเป็นตัวจุดพลุให้ตลาดหุ้นไทย
เรือธงที่ 3 คือ "โครงการ Bond Connect Platform" สนับสนุนการจองซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดแรก รวมถึงพัฒนาตลาดรองสำหรับพันธบัตรรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการลงทุนในพันธบัตรได้ง่ายขึ้น พร้อมสามารถนำพันธบัตรไปใช้เป็นหลักประกันในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ
"นี่เป็นไอเดียที่ว่าผลิตภัณฑ์ควรหลากหลายมากขึ้น หุ้นอาจไม่ใช่ตัวแรกที่ผู้ลงทุนอาจจะต้องการอะไรที่ปลอดภัยเพื่อพักเงินไว้สักที่หนึ่งและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเอาเงินไปฝากธนาคาร ถือเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่กำลังศึกษารายละเอียด หลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อหาข้อสรุปว่าสามารถขายพันธบัตรรัฐบาลแบบแยกย่อยได้มากน้อยแค่ไหน"
สุดท้าย คือ "โครงการ Carbon Ecosystem" สนับสนุน Low Carbon Economy ผ่านการพัฒนา Carbon Market Platform สำหรับซื้อขายคาร์บอนเครดิตทั้งในตลาดภาคบังคับและภาคสมัครใจ ควบคู่กับการสร้างหลักสูตรและพัฒนาบุคลากรด้าน Carbon Professional เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2593 และการพัฒนาเครื่องมือ SET Carbon เพื่อช่วยองค์กรลดการปล่อยคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ
"เรือธงที่วางไว้จะทำให้ตลาดหุ้นไทยแข่งขันกับต่างประเทศได้ อย่าง ญี่ปุ่นทำเรื่อง Corporate Value Up มา 2 ปี เกาหลีทำเรื่อง Value Up แต่ตลาดหุ้นไทยแค่อัพไม่พอ ต้อง Jump+ จะช่วยเพิ่มเสน่ห์หุ้นไทยได้ ส่วนการจะดึงเม็ดเงินลงทุนให้กลับเข้ามาได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับ Fundamental หากบริษัทให้ผลตอบแทนที่ดี นักลงทุนจะเข้ามา แต่จากสัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติไม่ได้หนีไปไหน ต่างชาติถือหุ้นไทย 32% อาจมีการซื้อขายบางส่วนแต่ส่วนใหญ่ยังคงถือยาว ซึ่งตัวเลขในอดีตต่างชาติถือต่ำสุด 28-29% และสูงสุดราว 35%"
ทั้งนี้จากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ มองว่าเวลาลงทุนจะมอง Asset Class ก่อน ถ้า Risk on จะลงทุนหุ้น Developping มากขึ้น แต่ถ้ามองตลาด Emerging มองตลาดจีน อินเดียและที่อื่นๆ ซึ่งไทยคือหนึ่งในประเทศที่อยู่ในเรดาร์ แต่ปัญหาคือเราอยากให้มีสตอรี่ เช่น JUMP+ เพื่อที่จะดึงดูดต่างชาติให้กลับเข้ามาลงทุน เอิร์นนิ่งโตเท่าเพื่อนบ้านแต่หุ้นไม่เด้งเท่าเพื่อนบ้านจึงต้องมีการสร้างสิ่งต่างๆเข้ามาเพิ่ม
"ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนคือช่วงที่บรรยากาศตลาดไม่ดี แต่มีบางกลุ่มอุตสาหกรรมหรือหุ้นบางตัวมีการแสดงผลที่ดี นักลงทุนควรค้นหาหุ้นที่มีพื้นฐานดี กระจายการลงทุนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมในช่วงเวลานั้น เพื่อช่วยให้การลงทุนมีความเสี่ยงที่ต่ำลงและมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว"
ท้ายที่สุดยังคงย้ำว่า ตลาดหุ้นไทยไม่ได้หายไป ตอนนี้มีแต่อัพ เพียงแต่ต้องรีบทำตามกลยุทธ์ที่วางไว้ สถิติรีเทิร์นอาจไม่ได้สูงมากแต่บางกลุ่มอุตสาหกรรมถือว่าดี และน่าจะเป็นเรือธงต่อไป อย่าง ดัชนี Nasdaq มีหุ้น 7 นางฟ้า หุ้นไทยมีกลุ่มโรงแรม, โรงพยาบาล, เฮลท์เทค ที่แข็งแกร่ง
"หุ้นไทยยังมีเสน่ห์ ต้องโฟกัสจุดแข็ง เราเก่งด้านอาหาร การรักษาพยาบาล การท่องเที่ยว แต่อาจไม่เก่งด้านเทคโนโลยีซึ่งสามารถนำเข้ามาเพื่อให้มันครบได้ ดังนั้นในเชิงมาร์เก็ตเพลสถือว่ามีอุตสาหกรรมเก่าที่เติบโต"
13 บจ.แห่ซื้อหุ้นคืน 3 หมื่นล้าน "อัสสเดช"แนะนำเงินลงทุนดันธุรกิจโตยั่งยืน