
เปิดเหตุผล BTS พลิกกำไรไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน ปี 67/68
หากย้อนดูผลการดำเนินงานของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS จะพบว่า มีผลขาดทุนสุทธิมาตั้งแต่ปี 2566/67 (เม.ย.2566-31 มี.ค.2567) อยู่ที่ 5,241 ล้านบาท จากนั้นผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2567/68 (เม.ย.-มิ.ย.2567) และไตรมาส 2 ปี 2567/68 (ก.ค.-ก.ย.2567) ก็ยังมีผลขาดทุนสุทธิต่อเนื่อง อยู่ที่ 382 ล้านบาท และ 456 ล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานประจำครึ่งปีแรกของปี 2567/68 มีผลขาดทุนสุทธิ 838 ล้านบาท
แต่ล่าสุด BTS ประกาศผลการดำเนิงานไตรมาส 3 ปี 2567/68 (ต.ค.-ธ.ค.2567) พลิกมีกำไรสุทธิ 3,042 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจำนวน 4,762 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ผลการดำเนิงานประจำงวด 9 เดือนของปี 2567/68 มีกำไรสุทธิ 2,204 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิจำนวน 5,277 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ การกลับมามีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2567/68 มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการดำเนินงานที่เกิดขึ้นเป็นประจำก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยและภาษี (Recurring EBITDA) และการบันทึกกำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการเปลี่ยนสถานะของ บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) RABBIT และ บริษัท ร็อคเทค โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ ROCTEC ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ 55.0%
โดย Recurring EBITDA ในไตรมาส 3 ปี 2567/68 จำนวน 2,592 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.9% หรือ 297 ล้านบาท จากปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของ Recurring EBITDA ของธุรกิจ MIX สาเหตุหลักมาจากการกลับมารับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน หลังจากการจำหน่ายเงินลงทุนใน KEX ในเดือน มี.ค.2567 รวมถึงการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของ บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI
สำหรับในไตรมาส 3 ปี 2567/68 บริษัทมีรายได้รวม จำนวน 11,037 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.6% หรือ 4,165 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก (1) การรวมรายได้ของ RABBIT และ ROCTEC จำนวนรวม 1,480 ล้านบาท ในการจัดทำงบการเงินรวมของ บีทีเอส กรุ๊ป ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย.2567 เป็นต้นมา หลังจากการเข้าซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer: VTO) ในทั้งสองบริษัท
(2) การเพิ่มขึ้นของรายได้อื่น ส่วนใหญ่มาจากการบันทึกกำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว จำนวน 3,442 ล้านบาท จากการเปลี่ยนสถานะของ RABBIT และ ROCTEC จากบริษัทร่วมเป็นบริษัทย่อยของบีทีเอส กรุ๊ป รวมถึงกำไรจากการขายอาคารทีเอสทีทาวเวอร์ของ RABBIT จำนวน 268 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นดังกล่าว ถูกหักกลบบางส่วนด้วย (3) การลดลงของรายได้จากการก่อสร้างจำนวน 1,176 ล้านบาท หลังจากการเสร็จสิ้นงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูสายหลัก ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายของ RABBIT และ ROCTEC ถูกนำมารวมเข้ากับงบรวมของบริษัท
ดังนั้น ส่งผลให้ผลการดำเนินงานประจำงวด 9 เดือนของปี 2567/68 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,204 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิจำนวน 5,277 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
การกลับมามีกำไรสุทธิมาจากปัจจัยหลัก ดังนี้
(1) ไม่มีการบันทึกผลขาดทุนที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการด้อยค่าเงินลงทุนของ KEX และการด้อยค่าเงินลงทุนของบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ของ RABBIT ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อน
(2) การบันทึกกำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการเปลี่ยนสถานะของ RABBIT และ ROCTEC ในไตรมาส 3 ปี 2567/68
(3) การกลับมาบันทึกส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม/การร่วมค้า เนื่องจากไม่มีการบันทึกผลขาดทุนจากการดำเนินงานใน KEX รวมถึงการกลับมารับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน JMART