
ไร้แรงยื้อ! DELTA ร่วงต่อ โบรกเห็นพ้องเชียร์ "ขาย" รับต้นทุนพุ่ง-กำไรต่ำ
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น "บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA" เปิดการซื้อขายวันนี้ (18 ก.พ.68) บวกแตะ 87 บาท หลังจากวานนี้ (17 ก.พ.68) ราคาทิ้งดิ่งลงไปแตะ 79.25 บาทก่อนกลับมาปิดที่ 86.50 บาท
ราคาหุ้น DELTA ล่าสุด ณ เวลา 10.53 น. กลับมาร่วงแตะระดับ 82.75 บาท ลดลง -3.75 บาท คิดเป็น -4.34% มูลค่าการซื้อขาย 1,342.77 ล้านบาท
นายเจิ้ง อัน กรรมการ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า สืบเนื่องจากการรายงานผลประกอบการประจำปี 2567 ของบริษัทที่ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ส่งผลให้เกิดความผันผวนในการซื้อขายและราคาหลักทรัพย์ของบริษัทฯอย่างมีนัยสำคัญในวันเปิดทำการต่อมา ทางบริษัทจึงใคร่ขอเรียนชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 เพื่อประกอบการพิจารณาของนักลงทุน ดังต่อไปนี้
สรุปผลการดำเนินงานไตรมาส 4/67
1.ยอดขายสินค้าและบริการในไตรมาสนี้ที่ 41,747 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 10.6 แต่ลดลงจากฐานสูงในไตรมาสก่อนร้อยละ 3.4 ขับเคลื่อนโดยกลุ่มผลิตภัณฑ์พาวเวอร์ซิสเต็มสำหรับระบบศูนย์ข้อมูล และดีซีพาวเวอร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ยังมีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อเนื่องร่วมกับโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศเติบโตได้ดีจากไตรมาสก่อนและปีที่แล้ว จากแนวโน้มความต้องการลงทุนเพื่อยกระดับดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับการประมวลผลสมรรถนะสูง
รายได้ส่วนกลุ่มโซลูชันสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้ว สอดคล้องกับทิศทางตลาดโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว
2. กำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้มีจำนวน 9,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 21.4 จากฐานสูงของไตรมาสที่แล้ว โดยมีสาเหตุหลัก ดังนี้
2.1 สกุลเงินดอลลาร์ส่งผลต่อค่าเงินบาทแข็งในต้นไตรมาส 4 เกิดการรับรู้ขาดทุนในต้นทุนสินค้าคงคลัง มูลค่า 13.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2.2 การให้เงินคืนอุดหนุนแก่ลูกค้ามูลค่า 6.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากยอดขายสูงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงการค้า
2.3 หน่วยงานโซลูชัน Magnetic ซึ่งผลิตชิ้นส่วนสำหรับใช้ภายในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เกิดกรณีข้อบกพร่องของวัตถุดิบที่ได้ประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปส่งมอบลูกค้าแล้วทำให้บริษัทต้องดำเนินการแก้งาน พร้อมตั้งสำรองค่าใช้จ่ายที่ครอบคลุมการดำเนินการดังกล่าว มูลค่า 16.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2.4 นอกเหนือจากปัจจัยกดดันกำไรข้างต้น สำหรับไตรมาสนี้บริษัทยังสามารถควบคุมบริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการกลับรายการตั้งสำรองมูลค่าสินค้าคงคลังออกมาเพิ่มเติมบางส่วน เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบของค่าใช้จ่ายไม่ประจำที่เกิดขึ้นไตรมาสนี้
3.ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (รวมการวิจัยและพัฒนา) มีจำนวน 7,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.6 จากไตรมาสก่อนร้อยละ 61.8 จากปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุหลัก ดังนี้
3.1ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยพัฒนา มีช่วงฤดูกาลที่บันทึกยอดจากโครงการต่างๆของศูนย์วิจัยที่เยอรมันสูงขึ้นในช่วงปลายปี ทั้งนี้เป็นไปตามกลยุทธ์ในการเพิ่มการลงทุนเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคต ตามแนวโน้มธุรกิจหลักที่มีดีมานด์ความต้องการสูง
3.2 ค่าสิทธิจ่าย ซึ่งบันทึกอยู่ในค่าใช้จ่ายการขาย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากยอดขายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยปีัญญาประดิษฐ์เติบโตสูง อย่างไรก็ตามไตรมาสนี้มีการประเมินและปรับปรุงอัตราเรียกเก็บค่าสิทธิจ่ายสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นเพิ่มเติมและมีผลคำนวณย้อนถึงต้นปีทำให้ค่าสิทธิจ่ายเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนอย่างมีนัยสำคัญ
อัตราอ้างอิงดังกล่าวได้ผ่านการสอบทานเปรียบเทียบกับมาตรฐานอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยผู้เชี่ยวชาญการประเมินอย่างสมเหตุสมผล (บริษัท PWC)
3.3 ค่าใช้จ่ายในการบริหาร เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการบันทึกค่าใช้จ่ายทางกฏหมาย ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 โดยยอดรวมค่าใช้จ่ายทางกฎหมายในปีนี้มีมูลค่า 1,008 ล้านบาท (หมายเหตุประกอบงบข้อ 24)
กลุ่มบริษัทฯมีข้อพิพาทด้านสิทธิบัตรเทคโนโลยกับคู่กรณีในสหรัฐอเมริกา สถานะคดียังไม่สิ้นสุดและอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป ส่งผลให้มีปัจจัยกดดันจากค่าใช้จ่ายส่วนนี้
3 โบรกประสานเสียง "ขาย"
นางสาวนารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ในไตรมาส 4/67 กำไรสุทธิ 2,155 ล้านบาท หดแรง -54% y-y และ -63% q-q ต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญจากต้นทุนขายเพิ่ม-ค่าใช้จ่ายเพิ่ม และภาษีจ่ายเพิ่ม ยอดขายรวม 1,199 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 17% y-y แต่หด -2% q-q เมื่อเทียบเป็นเงินบาทจะเท่ากับ 41,062 ล้านบาท เติบโต +10% y-y แต่ -3% q-q
"กลุ่ม Power electronic" (สัดส่วน 55% ของยอดขาย) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้า Data center server และ AI มียอดขายเติบโต +18% y-y แต่ -4%q-q "กลุ่ม Mobility" (สัดส่วน 25%) ยอดขาย +1% y-y แต่ -7% q-q ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม EV ซึ่งขายใน 2 ตลาดหลักคือ สหรัฐและจีน(42%) ตลาดดังกล่าวยอดขายหดตัว -27% y-y และ -3% q-q เป็นการหดตัว 3 ไตรมาสติดต่อกัน ส่วนตลาดยุโรป (58%) ยอดขายโต +30% y-y แต่หด -9% q-q
"กลุ่ม Infrastructure" (สัดส่วน 17%) ยอดขายเติบโต +45% y-y และ +15% q-q ขับเคลื่อนด้วยกลุ่มลูกค้าโทรคมนาคมและพลังงาน "กลุ่ม Automation" (สัดส่วน 3%) ยอดขายขยายตัว +28% y-y และทรงตัว q-q กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม
อัตรากำไรขั้นต้นหดจาก 27.5% ในไตรมาส 3/67 เหลือเพียง 22.2% เนื่องจากมีต้นทุนเพิ่มขึ้นสุทธิ +934 ล้านบาท มาจาก 1)ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนตามการปรับต้นทุนทุกไตรมาสและค่าเงินผันผวนจำนวน 13.3 ล้านเหรียญ 2)การให้ส่วนลดลูกค้าในกลุ่ม Data center ตามยอดขายเพิ่มขึ้น 6.8 ล้านเหรียญ
3)สินค้ากลุ่ม Magnetic ที่ทำใช้ภายในเกิดปัญหาการผลิตและส่งผลต่อสินค้าสำเร็จรูปที่ส่งให้ลูกค้าทำให้ต้องตั้งสำรองประกัน 16.2 ล้านเหรียญ และ 4)ยอดขาย EV ที่อ่อนแอทำให้มีตั้งสำรองสินค้า แต่มีโอนกลับสำรองสินค้า +300 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษที่เกิดขึ้นจะทำให้อัตรากำไรเพิ่มราว 2.3%
ค่าใช้จ่ายขายบริหาร และพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้น +62% y-y และ+19% q-q จาก 1)ค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย 1,008 ล้านบาท เดิมอยู่ในรายการพิเศษแต่ไตรมาสนี้อยู่ที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 2)ค่าใช้จ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื่องจากมีโครงการค้างในเยอรมัน สำหรับรายการดังกล่าวเป้าหมายระยะยาวจะอยู่ที่ 3% ของยอดขาย ปัจจุบันอยู่ที่ 2.5%
3)ค่าสิทธิการจ่ายที่จ่ายให้กับบริษัทแม่ในไต้หวันเพิ่มขึ้นมากเนื่องจากมีการปรับอัตราจ่ายเพิ่มเติมจากเดิมจะคิดเฉพาะที่เกี่ยวข้อง AI แต่เริ่มนำสินค้าที่มียอดขายสูงมาคิดด้วยมีการคิดย้อนกลับตั้งแต่ต้นปีจำนวน 26 ล้านเหรียญ อัตราภาษีจ่าย เพิ่มขึ้นเนื่องจากรัฐบาลอินเดียมีเก็บภาษีเพิ่มขึ้นตามกฎหมายใหม่จำนวน 400 ล้านรูปี
ปรับประมาณการปี 2568 ลงจากเดิม 20% ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ Data center, Cloud และ AI ยังมีการเติบโตได้ตามการใช้ที่มากขึ้นทำให้ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ายอดขายของ DELTA ยังโตได้ต่อเนื่อง
แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น y-y ได้ เนื่องจากปีก่อนมีรายการพิเศษทำให้ต้นทุนเพิ่มและกระทบกับอัตรากำไรขั้นต้นราว 0.6% แต่ขณะเดียวกันมีปรับค่าใช้จ่ายขายและบริหารและค่าใช้จ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นจากเดิมเช่นกัน เนื่องจากมีการคิดค่าสิทธิการจ่ายจากบริษัทแม่เพิ่มขึ้นจากเดิมคิดเฉพาะสินค้า AI แต่เริ่มมีการคิดในสินค้าอื่นด้วย
รวมถึงผลกระทบจาก GMT ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการใหม่คาดยอดขาย 5,006 ล้านเหรียญ +9% y-y ปรับอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 26% และปรับสัดส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารและพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็น 15% ทำให้กำไรสุทธิใหม่จะอยู่ที่ 17,839 ล้านบาท ลดลง -6% y-y และปรับราคาเหมาะสมใหม่ 71.50 บาท อิง P/E 50 เท่าสะท้อนการปรับประมาณการลง โดยยังคงแนะนำ “ขาย”
"แม้จะมีรายการพิเศษกดดันให้กำไรต่ำคาด แต่ในส่วนค่าใช้จ่ายที่เร่งตัวขึ้นและลามไปสินค้าอื่นนอกจากกลุ่ม AI เป็นปัจจัยกดดันกำไรเพิ่มขึ้นนอกจากจะเริ่มได้รับผลจาก GMT ปีนี้ แม้ตลาดจะให้ premium กับ DELTA มากกว่ากลุ่มจากการมีสินค้าเกี่ยวข้อง Data center และ AI ที่เติบโตตาม Mega Trend แต่จากงบที่ต่ำคาด และค่าใช้จ่ายที่เร่งตัวขึ้น รวมถึงมีแนวโน้มที่อาจถูกลดสัดส่วนการถือตามเกณฑ์คำนวนดัชนี SET50 ใหม่ตลาดฯ อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน P/E25E ถึง 79 เท่า มองว่าแพงเกินไปเมื่อเทียบกับส่วนเพิ่มที่มีต่อประมาณการแล้ว คงแนะนำขาย"
บทวิคราะห์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เผยผลการประชุมนักวิเคราะห์ (17 ก.พ.)ประเด็นหลักที่ส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิในไตรมาส 4/67 ของ DELTA ได้แก่
1.การปรับปรุงต้นทุน 13.3 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ จากการแข็งค่าของเงินบาทในไตรมาส 3/67
2.การคืนเงินให้กับลูกค้า Data Centre 6.8 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
3.การตั้งสำรองจำนวน 16.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เกี่ยวกับปัญหา Defect ในหน่วย Magnetic Solutions Business unit (MSBU)
สำหรับ Guidance ปี 2568 เป็นไปตามที่ฝ่ายวิเคราะห์คาด โดยบริษัทคาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ราวเลขสองหลักระดับกลาง (Mid teen digit) ในหน่วยดอลลาร์สหรัฐฯเทียบกับที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดไว้ 13% นอกจากนี้ DELTA คาดว่ายอดขายเติบโตแข็งแกร่ง 40-60% จากปีก่อนในสินค้าที่เกี่ยวกับ AI ราว 11% สำหรับยอดขายทั้งหมดในปี 67
ขณะที่ผลิตภัณฑ์ Non-Data Centre ราว 27% ของรายได้ปี67 ควรจะเห็นการเติบโตด้วยเลขสองหลักในทางตรงกันข้าม Non-data segment อาทิ EV และ Telecom power solution ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันในปี 68
ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดการประมาณการ EPS ในปี 68-69 ลง 21-22% เพื่อสะท้อนอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำ และต้นทุนจากการดำเนินงานที่สูง โดยคาดว่ายังมีแรงกดดันจากค่า Loyalty , R&D ที่สูง และค่าใช้จ่ายทางกฏหมายในปี 68
คาดว่า EPS ในปี 68 จะชะลอตัวลงจากอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นและอุปสงค์ Non Data Centre ที่ชะลอตัวลง ดังนั้นจึงแนะนำ “ขาย” และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 75 บาท
บล.ยูโอบีเคย์เฮียน แนะนำขาย DELTA ราคาเป้าหมาย 75 บาท คาดว่ารายได้ของ DELTA จะเติบโต 12% ในปี 2568 แรงหนุนจากผลิตภัณฑ์ AI และ Data Centre อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ที่ 24.9% ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย yoy จากผลของอัตราแลกเปลี่ยน, product mix, และการตั้งสำรองการรับประกัน ค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้อาจถูกกดดันจากค่าลิขสิทธิ์, การวิจัยและพัฒนา, และค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย
กำไรในปี 2025 คาดจะทรงตัว เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2025 ลงอีก 4% และลดตัวคูณจาก +1SD เป็นค่าเฉลี่ย