ไร้แรงยื้อ! DELTA ร่วงต่อ โบรกเห็นพ้องเชียร์ "ขาย" รับต้นทุนพุ่ง-กำไรต่ำ

ไร้แรงยื้อ! DELTA ร่วงต่อ โบรกเห็นพ้องเชียร์ "ขาย" รับต้นทุนพุ่ง-กำไรต่ำ

18 กุมภาพันธ์ 2568

DELTA ไปต่อไม่ไหว! ราคาร่วงลง 3.75 บาท แตะระดับ 82.75 บาท หลังชี้แจงข้อมูลผลประกอบการไตรมาส 4/2567เพิ่มเติม ด้าน 3 โบรกประสานเสียงแนะ "ขาย" เหตุต้นทุนดำเนินการพุ่งสวนทางกำไรลดต่ำ

KEY

POINTS

  • DELTA ราคาร่วงลง 3.75 บาท แตะระดับ

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น "บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA" ปิดการซื้อขายวันนี้ (18 ก.พ.68) บวกแตะ 87 บาท หลังจากวานนี้ (17 ก.พ.68) ราคาทิ้งดิ่งลงไปแตะ 79.25 บาทก่อนกลับมาปิดที่ 86.50 บาท

ราคาหุ้น DELTA ล่าสุด ณ เวลา 10.53 น. กลับมาร่วงแตะระดับ 82.75 บาท ลดลง -3.75 บาท คิดเป็น -4.34% มูลค่าการซื้อขาย 1,342.77 ล้านบาท

นายเจิ้ง อัน กรรมการ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า สืบเนื่องจากการรายงานผลประกอบการประจำปี 2567 ของบริษัทที่ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ส่งผลให้เกิดความผันผวนในการซื้อขายและราคาหลักทรัพย์ของบริษัทฯอย่างมีนัยสำคัญในวันเปิดทำการต่อมา ทางบริษัทจึงใคร่ขอเรียนชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 เพื่อประกอบการพิจารณาของนักลงทุน ดังต่อไปนี้

สรุปผลการดำเนินงานไตรมาส 4/67 สรุปผลการดำเนินงานไตรมาส 4/67

1.ยอดขายสินค้าและบริการในไตรมาสนี้ที่ 41,747 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 10.6 แต่ลดลงจากฐานสูงในไตรมาสก่อนร้อยละ 3.4 ขับเคลื่อนโดยกลุ่มผลิตภัณฑ์พาวเวอร์ซิสเต็มสำหรับระบบศูนย์ข้อมูล และดีซีพาวเวอร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ยังมีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อเนื่องร่วมกับโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศเติบโตได้ดีจากไตรมาสก่อนและปีที่แล้ว จากแนวโน้มความต้องการลงทุนเพื่อยกระดับดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับการประมวลผลสมรรถนะสูง

รายได้ส่วนกลุ่มโซลูชันสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้ว สอดคล้องกับทิศทางตลาดโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว

2. กำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้มีจำนวน 9,376 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 21.4 จากฐานสูงของไตรมาสที่แล้ว โดยมีสาเหตุหลัก ดังนี้

2.1 สกุลเงินดอลลาร์ส่งผลต่อค่าเงินบาทแข็งในต้นไตรมาส 4 เกิดการรับรู้ขาดทุนในต้นทุนสินค้าคงคลัง มูลค่า 13.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

2.2 การให้เงินคืนอุดหนุนแก่ลูกค้ามูลค่า 6.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากยอดขายสูงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงการค้า

2.3 หน่วยงานโซลูชัน Magnetic ซึ่งผลิตชิ้นส่วนสำหรับใช้ภายในหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เกิดกรณีข้อบกพร่องของวัตถุดิบที่ได้ประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปส่งมอบลูกค้าแล้วทำให้บริษัทต้องดำเนินการแก้งาน พร้อมตั้งสำรองค่าใช้จ่ายที่ครอบคลุมการดำเนินการดังกล่าว มูลค่า 16.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

2.4 นอกเหนือจากปัจจัยกดดันกำไรข้างต้น สำหรับไตรมาสนี้บริษัทยังสามารถควบคุมบริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการกลับรายการตั้งสำรองมูลค่าสินค้าคงคลังออกมาเพิ่มเติมบางส่วน เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบของค่าใช้จ่ายไม่ประจำที่เกิดขึ้นไตรมาสนี้

3.ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (รวมการวิจัยและพัฒนา) มีจำนวน 7,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.6 จากไตรมาสก่อนร้อยละ 61.8 จากปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุหลัก ดังนี้

3.1ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยพัฒนา มีช่วงฤดูกาลที่บันทึกยอดจากโครงการต่างๆของศูนย์วิจัยที่เยอรมันสูงขึ้นในช่วงปลายปี ทั้งนี้เป็นไปตามกลยุทธ์ในการเพิ่มการลงทุนเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคต ตามแนวโน้มธุรกิจหลักที่มีดีมานด์ความต้องการสูง

3.2 ค่าสิทธิจ่าย ซึ่งบันทึกอยู่ในค่าใช้จ่ายการขาย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากยอดขายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยปีัญญาประดิษฐ์เติบโตสูง อย่างไรก็ตามไตรมาสนี้มีการประเมินและปรับปรุงอัตราเรียกเก็บค่าสิทธิจ่ายสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นเพิ่มเติมและมีผลคำนวณย้อนถึงต้นปีทำให้ค่าสิทธิจ่ายเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนอย่างมีนัยสำคัญ

อัตราอ้างอิงดังกล่าวได้ผ่านการสอบทานเปรียบเทียบกับมาตรฐานอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยผู้เชี่ยวชาญการประเมินอย่างสมเหตุสมผล (บริษัท PWC)

3.3 ค่าใช้จ่ายในการบริหาร เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการบันทึกค่าใช้จ่ายทางกฏหมาย ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 โดยยอดรวมค่าใช้จ่ายทางกฎหมายในปีนี้มีมูลค่า 1,008 ล้านบาท (หมายเหตุประกอบงบข้อ 24)

กลุ่มบริษัทฯมีข้อพิพาทด้านสิทธิบัตรเทคโนโลยกับคู่กรณีในสหรัฐอเมริกา สถานะคดียังไม่สิ้นสุดและอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป ส่งผลให้มีปัจจัยกดดันจากค่าใช้จ่ายส่วนนี้

3 โบรกประสานเสียง "ขาย"

นางสาวนารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ในไตรมาส 4/67 กำไรสุทธิ 2,155 ล้านบาท หดแรง -54% y-y และ -63% q-q ต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญจากต้นทุนขายเพิ่ม-ค่าใช้จ่ายเพิ่ม และภาษีจ่ายเพิ่ม ยอดขายรวม 1,199 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 17% y-y แต่หด -2% q-q เมื่อเทียบเป็นเงินบาทจะเท่ากับ 41,062 ล้านบาท เติบโต +10% y-y แต่ -3% q-q

"กลุ่ม Power electronic" (สัดส่วน 55% ของยอดขาย) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้า Data center server และ AI มียอดขายเติบโต +18% y-y แต่ -4%q-q "กลุ่ม Mobility" (สัดส่วน 25%) ยอดขาย +1% y-y แต่ -7% q-q ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่ม EV ซึ่งขายใน 2 ตลาดหลักคือ สหรัฐและจีน(42%) ตลาดดังกล่าวยอดขายหดตัว -27% y-y และ -3% q-q เป็นการหดตัว 3 ไตรมาสติดต่อกัน ส่วนตลาดยุโรป (58%) ยอดขายโต +30% y-y แต่หด -9% q-q

"กลุ่ม Infrastructure" (สัดส่วน 17%) ยอดขายเติบโต +45% y-y และ +15% q-q ขับเคลื่อนด้วยกลุ่มลูกค้าโทรคมนาคมและพลังงาน "กลุ่ม Automation" (สัดส่วน 3%) ยอดขายขยายตัว +28% y-y และทรงตัว q-q กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม  

อัตรากำไรขั้นต้นหดจาก 27.5% ในไตรมาส 3/67 เหลือเพียง 22.2% เนื่องจากมีต้นทุนเพิ่มขึ้นสุทธิ +934 ล้านบาท มาจาก 1)ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนตามการปรับต้นทุนทุกไตรมาสและค่าเงินผันผวนจำนวน 13.3 ล้านเหรียญ 2)การให้ส่วนลดลูกค้าในกลุ่ม Data center ตามยอดขายเพิ่มขึ้น 6.8 ล้านเหรียญ

3)สินค้ากลุ่ม Magnetic ที่ทำใช้ภายในเกิดปัญหาการผลิตและส่งผลต่อสินค้าสำเร็จรูปที่ส่งให้ลูกค้าทำให้ต้องตั้งสำรองประกัน 16.2 ล้านเหรียญ และ 4)ยอดขาย EV ที่อ่อนแอทำให้มีตั้งสำรองสินค้า แต่มีโอนกลับสำรองสินค้า +300 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมรายการพิเศษที่เกิดขึ้นจะทำให้อัตรากำไรเพิ่มราว 2.3% 

ค่าใช้จ่ายขายบริหาร และพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้น +62% y-y และ+19% q-q จาก 1)ค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย 1,008 ล้านบาท เดิมอยู่ในรายการพิเศษแต่ไตรมาสนี้อยู่ที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 2)ค่าใช้จ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื่องจากมีโครงการค้างในเยอรมัน สำหรับรายการดังกล่าวเป้าหมายระยะยาวจะอยู่ที่ 3% ของยอดขาย ปัจจุบันอยู่ที่ 2.5%

3)ค่าสิทธิการจ่ายที่จ่ายให้กับบริษัทแม่ในไต้หวันเพิ่มขึ้นมากเนื่องจากมีการปรับอัตราจ่ายเพิ่มเติมจากเดิมจะคิดเฉพาะที่เกี่ยวข้อง AI แต่เริ่มนำสินค้าที่มียอดขายสูงมาคิดด้วยมีการคิดย้อนกลับตั้งแต่ต้นปีจำนวน 26 ล้านเหรียญ อัตราภาษีจ่าย เพิ่มขึ้นเนื่องจากรัฐบาลอินเดียมีเก็บภาษีเพิ่มขึ้นตามกฎหมายใหม่จำนวน 400 ล้านรูปี

ปรับประมาณการปี 2568 ลงจากเดิม 20% ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ Data center, Cloud และ AI ยังมีการเติบโตได้ตามการใช้ที่มากขึ้นทำให้ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ายอดขายของ DELTA ยังโตได้ต่อเนื่อง 

แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น y-y ได้ เนื่องจากปีก่อนมีรายการพิเศษทำให้ต้นทุนเพิ่มและกระทบกับอัตรากำไรขั้นต้นราว 0.6% แต่ขณะเดียวกันมีปรับค่าใช้จ่ายขายและบริหารและค่าใช้จ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นจากเดิมเช่นกัน เนื่องจากมีการคิดค่าสิทธิการจ่ายจากบริษัทแม่เพิ่มขึ้นจากเดิมคิดเฉพาะสินค้า AI แต่เริ่มมีการคิดในสินค้าอื่นด้วย

รวมถึงผลกระทบจาก GMT ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการใหม่คาดยอดขาย 5,006 ล้านเหรียญ +9% y-y ปรับอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 26% และปรับสัดส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารและพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็น 15% ทำให้กำไรสุทธิใหม่จะอยู่ที่ 17,839 ล้านบาท ลดลง -6% y-y และปรับราคาเหมาะสมใหม่ 71.50 บาท อิง P/E 50 เท่าสะท้อนการปรับประมาณการลง โดยยังคงแนะนำ “ขาย” 

"แม้จะมีรายการพิเศษกดดันให้กำไรต่ำคาด แต่ในส่วนค่าใช้จ่ายที่เร่งตัวขึ้นและลามไปสินค้าอื่นนอกจากกลุ่ม AI เป็นปัจจัยกดดันกำไรเพิ่มขึ้นนอกจากจะเริ่มได้รับผลจาก GMT ปีนี้ แม้ตลาดจะให้ premium กับ DELTA มากกว่ากลุ่มจากการมีสินค้าเกี่ยวข้อง Data center และ AI ที่เติบโตตาม Mega Trend แต่จากงบที่ต่ำคาด และค่าใช้จ่ายที่เร่งตัวขึ้น รวมถึงมีแนวโน้มที่อาจถูกลดสัดส่วนการถือตามเกณฑ์คำนวนดัชนี SET50 ใหม่ตลาดฯ อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน P/E25E ถึง 79 เท่า มองว่าแพงเกินไปเมื่อเทียบกับส่วนเพิ่มที่มีต่อประมาณการแล้ว คงแนะนำขาย"

บทวิคราะห์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เผยผลการประชุมนักวิเคราะห์ (17 ก.พ.)ประเด็นหลักที่ส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิในไตรมาส 4/67 ของ DELTA ได้แก่ 

1.การปรับปรุงต้นทุน 13.3 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ จากการแข็งค่าของเงินบาทในไตรมาส 3/67
2.การคืนเงินให้กับลูกค้า Data Centre 6.8 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ 
3.การตั้งสำรองจำนวน 16.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เกี่ยวกับปัญหา Defect ในหน่วย Magnetic Solutions Business unit (MSBU)

สำหรับ Guidance ปี 2568 เป็นไปตามที่ฝ่ายวิเคราะห์คาด โดยบริษัทคาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ราวเลขสองหลักระดับกลาง (Mid teen digit) ในหน่วยดอลลาร์สหรัฐฯเทียบกับที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดไว้ 13% นอกจากนี้ DELTA คาดว่ายอดขายเติบโตแข็งแกร่ง 40-60% จากปีก่อนในสินค้าที่เกี่ยวกับ AI ราว 11% สำหรับยอดขายทั้งหมดในปี 67

ขณะที่ผลิตภัณฑ์ Non-Data Centre ราว 27% ของรายได้ปี67 ควรจะเห็นการเติบโตด้วยเลขสองหลักในทางตรงกันข้าม Non-data segment อาทิ EV และ Telecom power solution ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันในปี 68

ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดการประมาณการ EPS ในปี 68-69 ลง 21-22% เพื่อสะท้อนอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำ และต้นทุนจากการดำเนินงานที่สูง โดยคาดว่ายังมีแรงกดดันจากค่า Loyalty , R&D ที่สูง และค่าใช้จ่ายทางกฏหมายในปี 68 

คาดว่า EPS ในปี 68 จะชะลอตัวลงจากอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นและอุปสงค์ Non Data Centre ที่ชะลอตัวลง ดังนั้นจึงแนะนำ “ขาย” และปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 75 บาท

บล.ยูโอบีเคย์เฮียน แนะนำขาย DELTA ราคาเป้าหมาย 75 บาท คาดว่ารายได้ของ DELTA จะเติบโต 12% ในปี 2568 แรงหนุนจากผลิตภัณฑ์ AI และ Data Centre อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ที่ 24.9% ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย yoy จากผลของอัตราแลกเปลี่ยน, product mix, และการตั้งสำรองการรับประกัน ค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้อาจถูกกดดันจากค่าลิขสิทธิ์, การวิจัยและพัฒนา, และค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย

กำไรในปี 2025 คาดจะทรงตัว เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2025 ลงอีก 4% และลดตัวคูณจาก +1SD เป็นค่าเฉลี่ย

Thailand Web Stat