
CPAXT อวดกำไรปี 67 แตะ 10,837 ล้านบาทรับธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีกโตแกร่ง
บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จํากัด (มหาชน) หรือ CPAXT ประกาศผลการดำเนินงานปี 2567 รายได้รวม 512,042 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,093 ล้านบาท หรือ 4.5%จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 10,569 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่หากไม่รวมรายการปรับปรุง กำไรสุทธิจะเป็น 10,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ผลจากการเติบโตของยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นของทั้งกลุ่มธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก โดยเฉพาะจากกลุ่มสินค้าอาหารสด นอกจากนี้การขาย Omni Channel เติบโตกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีสัดส่วนรายได้ถึง 18% ของยอดขายสินค้าทั้งหมดจากการที่บริษัทเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม พร้อมการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้วย AI ตอกย้ำความเป็นผู้นำเทคโนโลยีค้าปลีก
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 เพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตรารวม 0.71 บาทต่อหุ้น เมื่อหักการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.18 บาทต่อหุ้นที่บริษัทได้จ่ายไปแล้ว คงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายอีกในอัตรา 0.53 บาทต่อหุ้น
นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจค้าส่ง และประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจสายงานการเงินการบัญชีและบริหารงานกลาง CPAXT กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจปี 2568 บริษัทและบริษัทย่อยตั้งเป้าการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นกลยุทธ์เติบโตของธุรกิจที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการขยายสาขาทุกรูปแบบ การเพิ่มประสิทธิภาพจากการขาย Omni Channel และการสร้างศูนย์การค้าให้เป็นศูนย์กลางชุมชนที่รวมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทของคนทุกวัย เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และมูลค่าเพิ่มในสินทรัพย์ได้ดียิ่งขึ้น
ด้านการขาย Omni Channel บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนต่อยอดขายอย่างต่อเนื่อง โดยการขายนอกร้านผ่านแอปพลิเคชั่นยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วจากการใช้ข้อมูลเชิงลึกรายบุคคลด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อดึงดูดและรักษาผู้ใช้งานให้ใช้บริการในทุกช่องทาง
การขยายพื้นที่ให้บริการซึ่งใช้จุดแข็งของสาขาที่มีกว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ เป็นจุดกระจายและจัดส่งสินค้าเพื่อ เพิ่มอรรถประโยชน์ของสินทรัพย์ที่มีอยู่
นอกจากนี้ บริษัทมุ่งมั่นเพิ่มพื้นที่เช่าและปรับโฉมสาขา พร้อมทั้งการบริหารพื้นที่ศูนย์การค้าให้เป็นศูนย์กลาง ชุมชนที่รวมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทของคนทุกวัย โดยเฉพาะสาขาในย่านธุรกิจเมืองหลักและพื้นที่กําลังพัฒนาที่มีศักยภาพในการเติบโต ผ่านการนําเสนอในรูปแบบและขนาดตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าในแต่ละพื้นที่
พร้อมทั้งเสริมประสบการณ์ใหม่ๆให้กับลูกค้าผ่านการคัดสรรพันธมิตรและผู้เช่าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน เช่น ร้านอาหารแนวคิดใหม่ พื้นที่สําหรับกิจกรรมเชิงประสบการณ์หรือแบรนด์สินค้าที่มีความโดดเด่น กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่และรายได้จากค่าเช่า พร้อมทั้งเสริมความสามารถในการแข่งขันของบริษัทและเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์อย่างยั่งยืน
บริษัทเน้นย้ำการนําเสนอสินค้าคุณภาพดีในราคาคุ้มค่า รวมถึงสินค้าทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใส่ใจต่อ สิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเพิ่มสัดส่วนกลุ่มสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัท (Private label) และสินค้าแบรนด์ในราคาที่คุ้มค่าที่มีจําหน่ายเฉพาะที่แม็คโครและโลตัส (Exclusive brand) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในตลาด และ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
อีกทั้งการใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจอัจฉริยะและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกช่วยสร้าง ความเข้าใจในพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยํา ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด พร้อมผลักดันการเติบโตยอดขายและกําไรขั้นต้นได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อต้นเดือนตุลาคมปี 2567 บริษัทได้ดําเนินการควบบริษัทแม็คโครและโลตัสในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยน สําคัญในการเสริมศักยภาพขององค์กร ด้วยการมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการผนึกกําลัง ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนและลดความซ้ําซ้อนในการดําเนินงาน แต่ยังเปิดโอกาสในการเพิ่มผลประกอบการ
อนึ่งการเติบโตของภาพรวมรายได้ดังกล่าวข้างต้นจะสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศและประเทศที่บริษัทมีการลงทุนโดยคาดว่าเศรษฐกิจยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนสําคัญจากภาคการท่องเที่ยว ภาคการบริการและภาคการส่งออก และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ
ปัจจัยเชิงลบจากภาระหนี้สินครัวเรือน ความผันผวนของค่าเงิน ความเสี่ยงจากความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์อาจจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและการดําเนินงานของบริษัท
ทั้งนี้ บริษัทมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจสู่องค์กรที่มีความยั่งยืนระดับโลกยึดหลักการสร้างคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและสังคม ควบคู่การกํากับดูแลกิจการที่ดี(ESG)โดยตั้งเป้าหมายตามประเด็นสําคัญต่อผู้มีส่วนได้เสีย สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนของเครือฯ และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของโลก(UNSDGs)
ดังนั้นด้วยการใช้ศักยภาพของบริษัทและการนําหลักการเหล่านี้ไปปฏิบัติในทุกกระบวนการดําเนินงาน พร้อมทั้ง ติดตามและปรับปรุงนโยบายด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องบริษัทเชื่อมั่นว่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และลดผลกระทบเชิงลบด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว อีกทั้งบริหารจัดการความเสี่ยงให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้ บริษัทและบริษัทย่อยจะสามารถสร้างรายได้และผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน