
โอกาส หรือ ความเสี่ยง ? 10 หุ้น แห่ "ซื้อหุ้นคืน" ปี 2568
เปิดเบื้องลึก! ทำไมบริษัทจดทะเบียนไทยแห่ซื้อหุ้นคืน ? พร้อมเปิดโพยปี 2568 หุ้น CK ควงคู่ TTB นำทีม 8 หุ้น อัดฉีดเม็ดเงินมหาศาล โอกาสทองหรือความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องรู้ก่อนตัดสินใจ
KEY
POINTS
- เปิดเบื้องลึก! ทำไมบริษัทจดทะเบียนไทยแห่ซื้อหุ้นคืน ?
- เปิดโพยปี 2568 หุ้น CK ควงคู่ TTB นำทีม 8 หุ้น อัดฉีดเม็ดเงินมหาศาล
- โอกาสทองหรือความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องรู้ก่อนตัดสินใจ
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงนโยบายการค้าของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่อาจทำให้บริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในไทยส่วนใหญ่ไม่กล้าตัดสินใจลงทุนใหม่ๆ ทำให้มีกระแสเงินสดเหลือค่อนข้างมาก และหากต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นได้จะสามารถจ่ายคืนในรูปเงินปันผล หรือประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนได้เช่นกัน
นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่าในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยทยอยประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ต่อเนื่องในปี 2568 เทรนด์บริษัทขนาดใหญ่ต่างประกาศซื้อหุ้นคืนเช่นกัน เริ่มตั้งแต่ "บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK" วงเงินซื้อหุ้นคืน 3,000 ล้านบาท จำนวน 130 ล้านหุ้น ตั้งแต่ 25 ธันวาคม 2567 ถึง 1 มิถุนายน 2568 ซื้อหุ้นคืนต่อหุ้นชำระแล้ว 7.67% หุ้นซื้อคืนในโครงการถึงปัจจุบัน 11,253,000 หุ้น คิดเป็นหุ้นซื้อคืนในโครงการถึงปัจจุบันต่อหุ้นชำระแล้ว 0.66% มูลค่ารวมหุ้นซื้อคืนในโครงการถึงปัจจุบัน 191,833,200 บาท
แต่ที่สร้างความฮือฮาอย่างมากเห็นจะเป็น "บริษัท ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB" ที่ประกาศซื้อหุ้นคืนด้วยวงเงินสูงถึง 21,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2568 จนถึงปี 2570 โดยเริ่มซื้อหุ้นคืนครั้งแรกในปี 2568 ด้วยวงเงิน 7,000 ล้านบาท จำนวน 3,500 ล้านหุ้น ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ ถึง 1 สิงหาคม 2568 หุ้นซื้อคืนต่อหุ้นชำระแล้ว 3.59% หุ้นซื้อคืนในโครงการถึงปัจจุบัน 233,300,000 หุ้น คิดเป็นหุ้นซื้อคืนในโครงการถึงปัจจุบันต่อหุ้นชำระแล้ว 0.24% มูลค่ารวมหุ้นซื้อคืนในโครงการถึงปัจจุบัน 457,115,000 บาท
ทำไม ? บจ.ไทย ต้องซื้อหุ้นคืน!
ก่อนอื่น "การซื้อหุ้นคืน" เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ทางการเงินที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยนำมาใช้เพื่อบริหารโครงสร้างทุนและสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ด้วยต้องการ "เพิ่มมูลค่าหุ้น" การลดจำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาดช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้น (EPS) ทำให้มูลค่าหุ้นสูงขึ้น
อีกทั้ง "สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน" แสดงให้เห็นว่าบริษัทมั่นใจในศักยภาพการเติบโตของตัวเอง
ต่อมาคือ "ใช้เงินสดส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ" แทนที่จะจ่ายเงินปันผลหรือขยายธุรกิจ บริษัทเลือกใช้เงินสดซื้อหุ้นคืนเพื่อลดภาระทางการเงิน รวมถึง "ป้องกันการถูกเทคโอเวอร์" การซื้อหุ้นคืนช่วยลดจำนวนหุ้นที่อยู่ในมือบุคคลภายนอก ลดความเสี่ยงจากการถูกซื้อกิจการ
ที่สำคัญคือ "บริหารอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE)" การลดทุนจดทะเบียนจากการซื้อหุ้นคืนช่วยให้ ROE ดีขึ้นในสายตานักลงทุน
"ข้อดีของการซื้อหุ้นคืนคือ ลดจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนซื้อขายในตลาดและทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ถือเป็นการส่งสัญญาณให้นักลงทุนในตลาดทราบว่าตอนนี้ราคาหุ้นของบริษัทต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมากเกินไปจากภาวะตลาดหุ้นไทยไม่ดี ราคาหุ้นมีโอกาสเพิ่มขึ้น ลดแรงเทขาย สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ช่วยให้ EPS และ ROE เพิ่มขึ้น"
แม้ว่าการซื้อหุ้นคืนมี "ข้อดี" แต่นักลงทุนต้องระมัดระวัง "ความเสี่ยง" ที่อาจเกิดขึ้น เรื่องแรกที่ต้องทราบคือ "กลยุทธ์ชั่วคราว" บางบริษัทอาจใช้การซื้อหุ้นคืนเพียงเพื่อพยุงราคาหุ้นในระยะสั้นเท่านั้น
เรื่องต่อมาคือ "ราคาหุ้นอาจปรับตัวลดลงหลังจบโครงการ" เพราะเมื่อโครงการซื้อหุ้นคืนสิ้นสุดลง แรงสนับสนุนราคาหุ้นอาจลดลงเช่นกัน อีกทั้ง "ใช้เงินสดมากเกินไป" อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการขยายธุรกิจในอนาคตได้
ที่สำคัญ "ไม่สามารถรับประกันผลตอบแทนได้" แม้การซื้อหุ้นคืนจะช่วยเพิ่ม EPS แต่ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นเสมอ
ท้ายที่สุดนี้ หุ้นที่มีโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นหนึ่งในโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยที่บริษัทใช้กลยุทธ์นี้เพื่อสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทให้ดีและพิจารณาความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาว