RATCH กางแผนปี 68 ลุยปรับพอร์ตสินทรัพย์ ลงทุนธุรกิจไฟฟ้า-พลังงาน

14 มีนาคม 2568

ผ่าแผนกลยุทธ์ RATCH ปี 68 เดินเกมมุ่งปรับพอร์ตสินทรัพย์-ลงทุนธุรกิจผลิตไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ดัน EBITDA โต 5-10% พร้อมวางงบลงทุน 15,000 ล้านบาท

จากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด เพื่อเป้าหมาย Carbon Neutrality & Net-Zero Emission, การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน, ความผันผวนของต้นทุน รวมถึงต้นทุนแฝงจากภาษี/ราคาคาร์บอน และความต้องการพลังงานสีเขียวที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพ ทำให้เกิดความท้าทายในการดำเนินธุรกิจพลังงานในปัจจุบัน 

ดังนั้น บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH จึงได้มาอัพเดทข้อมูลแผนกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2568 

นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทได้ดำเนินการทบทวนกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อปรับทิศทางการดำเนินงานให้พร้อมรองรับความท้าทายและโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต

โดยแผนกลยุทธ์ธุรกิจมุ่งเน้นใน 2 แนวทาง คือ 1.การปรับพอร์ตสินทรัพย์ด้วยการจัดกลุ่มสินทรัพย์และกำหนดกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์แต่ละกลุ่มให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ครอบคลุมตั้งแต่การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้ในการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าและลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนได้ 1-2% ต่อปี 

การนำโรงไฟฟ้าเดิมมาปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เกิดมูลค่าเพิ่ม อาทิ โครงการ Synchronous Condenser ของโรงไฟฟ้าทาวน์สวิลล์ในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นการนำโครงสร้างพื้นฐานของโรงไฟฟ้ามาใช้สนับสนุนเสถียรภาพระบบไฟฟ้าของรัฐควีนส์แลนด์ คาดว่า จะเริ่มดำเนินงานโครงการได้ประมาณเดือน ก.ค.2568

การพัฒนาโรงไฟฟ้าที่ปลดระวางแล้วและสินทรัพย์ที่ดินเป็นธุรกิจใหม่หรือโครงการใหม่ และการเข้าลงทุนซื้อหุ้นจากพันธมิตรเดิมในโครงการที่ยังมีมูลค่าทางธุรกิจ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพสินทรัพย์ให้สอดรับกับเป้าหมายธุรกิจของบริษัทและลงทุนในธุรกิจพลังงานใหม่ 

2.การลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานที่จะผลักดันให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคง โดยมุ่งกระจายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวมถึงพลังงานรูปแบบใหม่ และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน 

ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะลงทุนโครงการพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีโครงการในมือแล้ว 12 โครงการ กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมประมาณ 1,709.40 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย 

  • โครงการที่ตั้งอยู่ในประเทศออสเตรเลีย ได้แก่ ระบบกักเก็บพลังงาน เบอรีล กำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ โครงการโซลาร์ฟาร์มมารูลัน กำลังการผลิต 152 เมกะวัตต์ โครงการพลังงานลมสปริงแลนด์ กำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์ 
  • โครงการในประเทศฟิลิปปินส์ ได้แก่ โครงการพลังงานลมใกล้ชายฝั่งซานมิเกล กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 245 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งลูเซียน่า กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 232.75 เมกะวัตต์ 
  • โครงการพลังงานลมในเวียดนาม ได้แก่ โครงการเบ็นแจ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 39.20 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานลมบนฝั่ง 2 โครงการกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวมประมาณ 140.45 เมกะวัตต์ 
  • โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 5 แห่ง ในประเทศไทย อีก 153.97 เมกะวัตต์ ที่อยู่ระหว่างรอความชัดเจน

ขณะเดียวกัน ในปีนี้บริษัทยังมุ่งขยายการลงทุนโดยให้ความสนใจในโครงการพลังงานทดแทน และโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในปี 2593 ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เพื่อให้บริษัทมีรายได้มั่นคงและสามารถสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง 

รวมไปถึงเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าให้สำเร็จตามกำหนด โดยมีจำนวน 4 โครงการ กำลังผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น รวม 481.30 เมกะวัตต์ ที่กำหนด COD ในปี 2568 ได้แก่ 

  • โรงไฟฟ้าหินกอง ชุดที่ 2 392.70 เมกะวัตต์ เปิด COD ไปแล้วเมื่อเดือน ม.ค.2568
  • โรงไฟฟ้า นวนครส่วนขยาย 12 เมกะวัตต์ กำหนด COD ในไตรมาส 2/2568 
  • โรงไฟฟ้าพลังน้ำซองเกียง 1 ในเวียดนาม 5.55 เมกะวัตต์ กำหนด COD ในไตรมาส 3/2568 
  • โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ NPSI ในฟิลิปปินส์ 71.05 เมกะวัตต์ กำหนด COD ในไตรมาส 4/2568 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีความก้าวหน้าในการศึกษาและพัฒนาพลังงานรูปแบบใหม่ที่มีศักยภาพทางธุรกิจ ได้แก่ พลังงานไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen)  และพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) 

รวมไปถึงระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) ซึ่งปัจจุบันบริษัทย่อยในออสเตรเลียได้พัฒนาโครงการระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ โดยได้ใช้โครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Kemerton ในออสเตรเลีย และมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินทรัพย์เดิม และยังเป็นการก้าวเข้าสู่ระบบนิเวศการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว

ทั้งนี้ ในปี 2568 บริษัทวางงบประมาณลงทุนไว้ 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 5,000 ล้านบาท รองรับโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา ส่วนอีก 10,000 ล้านบาท ใช้สำหรับรองรับการลงทุนโครงการลงทุนใหม่ๆ ในรูปแบบ M&A โครงการกรีนฟิลด์ และบราวน์ฟิลด์

นายนิทัศน์ กล่าวว่า จากแผนกลยุทธ์ธุรกิจดังกล่าว คาดว่ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปีนี้จะเติบโต 5-10% จากปีก่อน ที่มี EBITDA อยู่ที่ 15,906 ล้านบาท ตามการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ที่เปิด COD ในปีนี้ การเพิ่มกำลังการผลิตด้านพลังงานทดแทน และการลงทุนโครงการใหม่ในรูปแบบ M&A หลักๆ ยังเป็นโครงการพลังงานทดแทน

ในปัจจุบันบริษัทรับรู้กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุน รวม 10,815 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมทั้งสิ้น 7,843 เมกะวัตต์ คิดเป็น 72.5% และกำลังผลิตจากพลังงานทดแทน รวม 2,972 เมกะวัตต์ คิดเป็น 27.5% โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนให้ถึง 30% ของกำลังการผลิตรวมในปี 2573 และเพิ่มเป็น 40% ในปี 2578 

Thailand Web Stat