
“ประกันสังคม” ลงทุนสินทรัพย์อะไรได้บ้าง หลังกังขาซื้อตึก SKYY9
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการประเด็นออกแฉกองทุนประกันสังคมว่ามีการลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 ราคา 7,000 ล้านบาท ในปี 2565-2566 สูงกว่าราคาประเมิน ซึ่งอยู่ที่เพียง 3,000 ล้านบาท เท่านั้น แถมเป็นอาคารที่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเป็นตึกร้าง ไม่ใช่อาคารที่เพิ่งสร้างเสร็จอีกต่างหาก ขณะที่อัตราการเข้าทำกำไรหรืออัตราการเช่าของอาคาร SKYY9 ในช่วงปลายปี 2565 อยู่ที่ 1% เท่านั้น
ล่าสุด สำนักงานประกันสังคม ออกมาชี้แจ้งว่าการลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 Centre มีประเมินโดยผู้ประเมินราคาอิสระ 2 ราย โดยมีราคาประเมินตามวิถีพิจารณาจากรายได้ประมาณ 7,300 ล้านบาท และมีการประเมินโดยวิธีพิจารณาต้นทุนประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งสำนักงานประกันสังคมได้เข้าลงทุนจริงในราคา 6,900 ล้านบาท
ปัจจุบันอาคาร SKYY9 มีอัตราเช่าพื้นที่ที่เซ็นสัญญาแล้ว ประมาณ 45% แบ่งเป็นผู้เช่าใช้พื้นที่ประมาณ 25% และผู้เช่าที่อยู่ระหว่างการทยอยเข้าพื้นที่ ภายในปี 2568 อีกประมาณ 20%
อย่างไรก็ตาม การเข้าลงทุนซื้ออาคาร SKYY9 Centre ของกองทุนประกันสังคมในครั้งนี้ ทำให้เป็นที่กังขาว่าการลงทุนในครั้งนี้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การลงทุนหรือไม่
ทั้งนี้ “โพสต์ทูเดย์” ได้สำรวจข้อมูลจากเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคมเกี่ยวกับระเบียบคณะกรรมการประกันสังคม ว่าด้วยการจัดหาผลประโยชน์ของกองทุนประกันสังคม พ.ศ. 2559 พบว่า ประเภทของสินทรัพย์ที่่กองทุุนประกันสังคมสามารถลงทุุนได้ แบ่งเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย
(ก) การลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง หรือมีความเสี่ยงต่ำอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอยางรวมกัน ไม่น้อยกว่า 60%ของเงินกองทุน เช่น
- เงินฝากของธนาคารที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับน่าลงทุน
- พันธบัตรรัฐบาล/ตั๋วเงินคลัง/พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย/พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ที่ค้ำประกันโดยรัฐบาล
- หุ้นกู้เอกชนที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับน่าลงทุน
- กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ข้างต้น
(ข) การลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอย่างใด อย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน ไม่เกินกว่า 40% ของเงินกองทุน เช่น
- เงินฝากของรนาคารที่ไม่ได้รับการจัดอันดับ ความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับน่าลงทุน
- พันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้รับ การค้ำประกันโดยรัฐบาล
- หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
- หน่วยลงทุน หรือหน่วยทรัสต์ ที่มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน/อสังหาริมทรัพย์ หรือกิจการเงินร่วมลงทุน
- กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ข้างต้น
(ค) การลงทุนในต่างประเทศให้เป็นไปตามสัดส่วนที่คณะกรรมการ ประกาศกำหนด ณ วันที่ 27 ธ.ค.2567 กำหนดที่ 47% ของเงินลงทุนทั้งหมด
(ง) การลงทุนตาม (ก) และ (ข) คณะกรรมการอาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข หรือสัดส่วนการลงทุนไว้เป็นกรณีเฉพาะก็ได้
สรุปการลงทุนในแต่ละกลุ่มหลักทรัพย์ ได้แก่
1.ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทย
2.พันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน
3.หุ้นกู้เอกชน
4.เงินฝากธนาคาร
5.เงินฝากธนาคารที่กฏหมายเฉพาะจัดตั้ง
6.พันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน
7.หน่วยลงทุนกองทุนรวม/ทรัสต์ (กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ)
8.หุ้นสามัญ
9.สินทรัพย์นอกตลาด (กองทุนที่มีนโยบายในอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนอกตลาด กองทุน/ทรัสต์ที่มีนโยบายลงทุนในกิจการเงินร่วมลงทุน)
10.หน่วยลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่
โดยสัดส่วนการลงทุนของกองทุนประกันสังคม ณ วันที่ 31 ธ.ค.2567 กองทุนประกันสังคม มีเงินลงทุนจํานวน 2,657,245 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง จำนวน 1,902,066 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 71.58% และมีการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยง จํานวน 755,179 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 28.42%
หากพิจารณาสัดส่วนการลงทุนของกองทุนประกันสังคม จําแนกตามแหล่งการลงทุน พบว่ากองทุนประกันสังคม มีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในประเทศ จํานวน 1,800,064 ล้านบาท คิดเป็น 67.74% และเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ จํานวน 857,181 ล้านบาท คิดเป็น 32.26%
สำหรับผลตอบแทนของกองทุนประกันสังคมที่รับรู้แล้วในปี 2567 กองทุนประกันสังคมมีผลตอบแทน จากการลงทุนที่รับรู้แล้วจำนวน 71,960 ล้านบาท ประกอบด้วย ดอกเบี้ยและกำไรจากการขายตราสารหนี้ และค่าธรรมเนียมการให้ยืมหลักทรัพย์ จํานวน 42,774 ล้านบาท คิดเป็น 59.44% ของผลตอบแทนรวม และมาจากเงินปันผลและกำไรจากการขายตราสารทุน จำนวน 29,186 ล้านบาท คิดเป็น 40.56% ของผลตอบแทนรวม
หากพิจารณาผลตอบแทนที่รับรู้ตามแหล่งเงินลงทุน จะพบว่าในปีที่ผ่านมา กองทุนประกันสังคมได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนหลักทรัพย์ในประเทศ จํานวน 54,549 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 75.80% ของผลตอบแทนรวมและกองทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศ จำนวน 17,411 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 24.20% ของผลตอบแทนรวม
ทั้งนี้ หากรวบรวมเฉพาะการลงทุนในหุ้นสามัญ ซึ่งจากข้อมูล StockRadars พบว่า สำนักงานประกันสังคม เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 71 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ มูลค่ารวม 202,665.10 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 14 มี.ค.2568) แบ่งเป็นลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร 18.97% กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 18.35% กลุ่มพสณิชย์ 12.00% และกลุ่มอื่นๆ อีก 50.69%
โดย 10 อันดับแรก ประกอบด้วย
1.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT
ถือหุ้นอันดับ 6 จำนวน 518,212,480 หุ้น คิดเป็น 1.81% มูลค่า 14,992.72 ล้านบาท
2.บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL
ถือหุ้นอันดับ 3 จำนวน 281,283,300 หุ้น คิดเป็น 3.13% มูลค่า 14,058.55 ล้านบาท
3.บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB
ถือหุ้นอันดับ 6 จำนวน 111,692,960 หุ้น คิดเป็น 3.32% มูลค่า 13,805.81 ล้านบาท
4.บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS
ถือหุ้นอันดับ 8 จำนวน 512,449,400 หุ้น คิดเป็น 3.22% มูลค่า 12,281.34 ล้านบาท
5.บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC
ถือหุ้นอันดับ 9 จำนวน 45,573,600 หุ้น คิดเป็น 1.53% มูลค่า 12,149.94 ล้านบาท
6.ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL
ถือหุ้นอันดับ 2 จำนวน 82,760,940 หุ้น คิดเป็น 4.34% มูลค่า 12,053.77 ล้านบาท
7.ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK
ถือหุ้นอันดับ 5 จำนวน 78,524,100 หุ้น คิดเป็น 3.31% มูลค่า 11,685.29 ล้านบาท
8.บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC
ถือหุ้นอันดับ 3 จำนวน 66,353,450 หุ้น คิดเป็น 5.53% มูลค่า 11,347.56 ล้านบาท
9.บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT
ถือหุ้นอันดับ 4 จำนวน 196,115,520 หุ้น คิดเป็น 1.37% มูลค่า 7,828.56 ล้านบาท
10.บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP
ถือหุ้นอันดับ 1 จำนวน 195,252,597 หุ้น คิดเป็น 14.18% มูลค่า 7,126.54 ล้านบาท