
บทสรุป Q1 สู่หุ้นไทย Q2/68 พายุเศรษฐกิจถล่ม หรือ ซ่อนโอกาส ?
ปิดฉากอย่างเร้าใจ!!
ส่งท้ายเดือน มีนาคม 2568 และปิดจบไตรมาส 1/2568 อย่างเต็มรูปแบบ หุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน (YTD) ดัชนีร่วง -242.12 จุด คิดเป็น -17.29% โดยดัชนีหุ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 1,390.88 จุดในวันที่ 7 ม.ค.68 และปิดต่ำสุด 1,158.09 จุดในวันที่ 31 มี.ค.68
ตลอด 62 วันที่ผ่านมา มูลค่าซื้อขายรวม 2,617,915.07 ล้านบาท เฉลี่ย 42,224.44 ล้านบาท พีคสุด 74,536.25 ล้านบาทในวันที่ 28 ก.พ.68 สอดรับข่าวคลังถกแบงก์ชาติ-สภาพัฒน์หามาตรการฟื้นเศรษฐกิจ ขณะที่ลดลงต่ำสุดที่ 17,321.58 ล้านบาทในวันที่ 28 มี.ค.68 เพราะตลาดหลักทรัพย์ฯหยุดเทรดในช่วงบ่ายจากเหตุแผ่นดินไหวเมียนมาเกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจนในไทย
ความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทย วันที่ 1 เมษายน 2568 ปิดที่ 1,168.02 จุด เพิ่มขึ้น 9.93 จุด คิดเป็น +0.86% มูลค่าการซื้อขาย 26,436.36 ล้านบาท ระหว่างวันดัชนีปรับขึ้นสูงสุด 1,174.22 จุด และลดลงต่ำสุด 1,165.33 จุด
ในปี 2567 ที่ผ่านมา หุ้นไทยร่วงต่ำ ดัชนีปิดที่ 1,400.21 จุด ลดลง -15.64 จุด คิดเป็น -1.10% โดยขึ้นไปแตะสูงสุด 1,495.02 จุดในวันที่ 17 ต.ค.67 และปิดต่ำสุดที่ 1,274.01 จุดในวันที่ 6 ส.ค.67 ตลอด 244 วัน มูลค่าการซื้อขาย 10,999,438.70 ล้านบาท เฉลี่ย 45,079.67 ล้านบาท พีคสุด 107,436.04 ล้านบาทในวันที่ 6 ก.ย.67 ลดลงต่ำสุด 24,098.70 ล้านบาทในวันที่ 26 ธ.ค.67
โงหัวไม่ขึ้น! หุ้นไทยทิ้งดิ่งกว่า 257 จุด
หุ้นไทยในช่วง 3 ปี (3 ม.ค.65 - 31 ธ.ค.67) ดัชนีปิดที่ 1,400.21 จุด ลดลง -257.41 จุด คิดเป็น -15.53% โดยดัชนีปิดสูงสุด 1,713.20 จุดในวันที่ 18 ก.พ.2565 ขณะที่ปิดต่ำสุด 1,274.01 จุด ในวันที่ 6 ส.ค.2567
ตลอด 728 วัน มูลค่าการซื้อขาย 40,577,988.81 ล้านบาท เฉลี่ย 55,739 ล้านบาท พีคสุด 149,938.39 ล้านบาทในวันที่ 8 มี.ค.2565 ลดลงต่ำสุด 21,857.77 ล้านบาทในวันที่ 25 ธ.ค.2566
หากย้อนภาพไปไกลอีกนิด! ยิ่งจะเห็นความจริงที่ว่า.. ตลอดระยะเวลา 5 ปี (2563 - 2567) หุ้นไทยไม่ได้ดีขึ้น ลดลง -179.63 จุด คิดเป็น -11.37% ดัชนีขึ้นพีคสุดและต่ำสุดเช่นเดียวกับช่วง 3 ปี
เพียงแต่.. ตลอด 1,212 วัน มูลค่าซื้อขาย 78,255,128.46 ล้านบาท เฉลี่ย 64,566.94 ล้านบาท พีคสุด 175,296.31 ล้านบาทในวันที่ 27 พ.ค.2564 และต่ำสุด 21,857.77 ล้านบาทในวันที่ 25 ธ.ค.2566
จากแผ่นดินไหว สู่จุดเดือด!
ก้าวสู่จุดเดือดเดือนเมษายน นอกจากอากาศที่ร้อนคาดจะพีคสุดที่ทะลุ 40 องศาเซลเซียส ยังมีประเด็นร้อน "สงครามการค้า" ที่ยังเดือดดาลและป่วนเศรษฐกิจโลก
โดยวันนี้ (2 เม.ย.68) เวลา 16.00 น.ตามเวลาสหรัฐฯ หรือช่วงเวลาตี 3 ของวันที่ 3 เม.ย.68ตามเวลาประเทศไทย "ทรัมป์" ประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (RECIPROCAL TARIFFS) กับประเทศเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ โดยหนังสือพิมพ์ THE WASHINGTON POST รายงานว่าทรัมป์อาจเรียกเก็บภาษี 20% ต่อสินค้าส่วนใหญ่ที่มีการนำเข้าสู่สหรัฐฯ
นอกจากนี้ ในวันที่ 30 เม.ย.68 ประชุม กนง. ลุ้นปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ลงสู่ 1.75% จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.00%
ผ่าอนาคต Q2/68
ฝายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ตลาดหุ้นไทย ไตรมาส 2/2568 คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,000 - 1,290 จุด ส่วนหนึ่งเตรียมรับผลกระทบจาก Trade War ยุค TRUMP 2.0 ยังคงดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ยุโรป ซึ่งความเสี่ยงอยู่วันที่ 2 เม.ย.68 ว่าแนวทางการเก็บภาษีของสหรัฐฯต่อประเทศอื่นๆจะเป็นเช่นไร
ภาพในประเทศเริ่มจากทิศทางดอกเบี้ยไทยประเมินช่วงครึ่งหลังปี68 มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง 0.25% หากตัวเลขเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นเท่าที่ควร กลับมาที่เศรษฐกิจไทยปี 68 มีแนวโน้มเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป BLOOMBERG คาดขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.8%จากปีก่อน โดยต้องเพิ่มยาแรงกระตุ้น อาทิ มาตรการต่างๆจากฝั่งรัฐบาล อาทิ DIGITAL WALLET และการผ่อนปรน LTV เป็นต้น
ส่วนการโยกเม็ดเงิน LTF สู่ Thai ESGX อาจทำให้ต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรก่อนวันมีผลบังคับใช้ เหมือนตอนมีกองทุนวายุภักษ์ ที่ SET ขยับขึ้นราว 200 จุด ภายใน 1 เดือน
ปัจจุบัน หุ้นไทยมี VALUATION ถูก มี PBV68F 1.15 เท่า (-2SD) ต่ำสุดเป็นอันดับต้นๆของโลก และ SET มี อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ปี 2568 สูง 4.3% (+1SD) สูงเป็นอันดับต้นๆของโลก
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นพื้นฐาน ESG RATING ดีๆ มีโอกาสได้เม็ดเงิน THAIESGX หนุน คือ
▪ หุ้นเข้าสู่ช่วง HIGH SEASON แนะนำ IVL ราคาเป้าหมาย 30 บาท อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) 4.6%, GPSC ราคาเป้าหมาย 45 บาท ผลตอบแทนเงินปันผล 3%, TTB ราคาเป้าหมาย 2.14 บาท ผลตอบแทนเงินปันผล 6.6%
▪ หุ้นปัจจัยบวกเฉพาะตัว แนะนำ AP ผลตอบแทนเงินปันผล 7.9% ราคาเป้าหมาย 12.80 บาท ทยอยสะสมหลังราคาหุ้นสะท้อนผลกระทบเหตุแผ่นดินไหวไปแล้ว อาจเป็นช่วงหลังสงกรานต์, CPALL ผลตอบแทนเงินปันผล 3.2% ราคาเป้าหมาย 88 บาท, STECON ผลตอบแทนเงินปันผล 2.7% ราคาเป้าหมาย 7 บาท