ส่องกำไรไตรมาส 1/68 "กลุ่ม PTT" พุ่ง หรือ ทรุด ? เจาะลึกแบบไม่กั๊ก!
กลุ่ม PTT ไม่ได้เป็นแค่ “หุ้นน้ำมัน” แต่กำลังเข้าสู่ “สมรภูมิใหม่” ที่ธุรกิจสะอาด เทคโนโลยี และการบริหารพอร์ตจะกำหนดอนาคต การดูแค่ราคาน้ำมันอาจไม่พอ พร้อมเจาะงบไตรมาส 1/2568 หุ้นรายตัวแบบไม่มีกั๊ก!
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น "บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT" เปิดการซื้อขายช่วงบ่าย วันที่ 23 เม.ย.68 อยู่ที่ 30.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 480.69 ล้านบาท
หุ้น "บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP" อยู่ที่ 102 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท คิดเป็น +1.49% มูลค่าซื้อขาย 731.08 ล้านบาท
หุ้น "บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC" อยู่ที่ 18 บาท ลดลง 0.10 บาท คิดเป็น -0.55% มูลค่าซื้อขาย 268.99 ล้านบาท
หุ้น "บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC" อยู่ที่ 30.50 บาท ลดลง 0.25 บาท คิดเป็น -0.81% มูลค่าซื้อขาย 270.72 ล้านบาท
หุ้น "บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP" อยู่ที่ 24.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท คิดเป็น +0.40% มูลค่าซื้อขาย 280.88 ล้านบาท
หุ้น "บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC" อยู่ที่ 0.83 บาท ลดลง 0.01 บาท คิดเป็น -1.19% มูลค่าซื้อขาย 12.06 ล้านบาท
หุ้น "บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR" อยู่ที่ 13.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท คิดเป็น +0.76% มูลค่าซื้อขาย 211.20 ล้านบาท
ลูกไม่ดี กำไรแม่ PTT วูบ 8%
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ ปรับลดประมาณการกำไรของ PTT ในปี 68 ลง 8% เหลือ 8.80 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปรับลดประมาณการส่วนแบ่งกำไรจาก 5 บริษัทลูกในตลาดขนาดใหญ่ ได้แก่ PTTGC, TOP, IRPC, OR และ GPSC ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมที่ผ่านมา และคาดราคา LNG สูงขึ้นทำให้ผลกระทบจาก Single Pool Gas Price มากขึ้นกับ PTT
ทั้งนี้นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มสมมติฐานราคา Japan/Korea Marker (JKM) LNG ปี 68 ขึ้นอีก 30% เป็น US$13.0/mmbtu และปี 69 ขึ้นอีก 25% เป็น US$10.0/mmbtu สะท้อนราคาในไตรมาส 1/68 ที่ US$14.0/mmbtu เพิ่มขึ้น 49% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน จากการหยุดส่งก๊าซผ่านท่อของรัสเซียผ่านยูเครนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ทำให้ผลกระทบจาก Single Pool Gas Price (หลังหักภาษี) ของ PTT ในปีนี้อยู่ที่ 1.55 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ 34%
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 69 ขึ้นอีก 1% เป็น 1.019 แสนล้านบาท เนื่องจากนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการส่วนแบ่งกำไรจาก PTTEP หลังจากที่นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มสมมติฐานราคาขายก๊าซของ PTTEP ในปี 69 ขึ้นอีก 6% เป็น US$5.5/mmbtu
"เราปรับลดราคาเป้าหมายปี 68 ลงเหลือ 34 บาท จากเดิม 35 บาท สะท้อนราคาเป้าหมายที่ลดลงของบริษัทลูกในเครือ PTT ที่อยู่ในตลาด 6 บริษัท แต่เรายังคงคำแนะนำถือ PTT จากโครงการซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 1.65% ของหุ้นทั้งหมดระหว่างวันที่ 24 มี.ค.–23 ก.ย.68 คาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 68-69 อยู่ที่ 6.5% จากราคาปัจจุบัน"
GPSC กำไรสวย - PTTGC ขาดทุนลดลง
นางสาวนารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า GPSC คาดการณ์งบไตรมาส 1/2568 กำไรสุทธิ 1,138 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อน แยกตามธุรกิจดังนี้
กลุ่มโรงไฟฟ้า IPP ปริมาณขายไฟ ลดลง 5% โรงไฟฟ้าเก็คโค่วันหยุดผลิตราว 28 วัน จากไตรมาส 4/67 หยุดเพียง 10 วัน
กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ปริมาณขายไฟ ลดลง 5% หลังปิดซ่อมตามแผนของลูกค้ากลุ่มปิโตรเคมี
กลุ่มโรงไฟฟ้า VSPP ปริมาณขายไอน้ำ เพิ่มขึ้น 2%
ต้นทุนการผลิต คาดจะเพิ่มขึ้น 6% ตามราคาก๊าซที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ในราคาถ่านหินคาดลดลง 10% แต่การดำเนินงานจากโรงไฟฟ้าเก๊กโก่วันดีขึ้นเนื่องจากจำนวนวันหยุดผลิตที่มากกว่า ในไตรมาส 4/66 ขณะที่ราคา Ft ลดลงเพียง 3 สตางค์ อยู่ที่ 36.72 สตางค์ต่อหน่วย ค่าใช้จ่ายขายและบริหารคาดลดลง 25% จากปกติไตรมาส 4 จะมีค่าใช่จ่ายที่สูงและคาดจะมีดอกเบี้ยจ่ายลดลง
ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม คาดพลิกขาดทุน 118 ล้านบาท หลักๆจากการลดลงของโรงไฟฟ้าไซยะบุรีหลังผ่านช่วงฤดูน้ำหลากไปแล้ว แต่ Avaada คาดกลับมากำไรจากค่าแสงดีขึ้น และมีการ COD เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ CFXD(ไต้หวัน)ขาดทุนเพิ่มขึ้นหลัง CODครบแล้วทำให้ต้องรับรู้ค่าใช้จ่ายการเงินเต็มที่แล้ว รวมถึงคาดจะมีรับรู้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า
“แม้นโยบายรัฐยังเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเป็นระยะๆ แต่จากแนวโน้มราคาก๊าซที่ลดลงคาดจะช่วยให้การดำเนินงานมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ขณะที่การขยายการลงทุนไปต่างประเทศจะช่วยลดความเสี่ยงจากในประเทศไปบ้าง ซึ่งจะทยอยส่งผลบวกในอนาคต แม้ราคาหุ้นจะปรับขึ้นจากประเด็นราคาก๊าซที่ลดลง แต่ยังมี upside อยู่ และยังรอการเก็บเกี่ยวจากธุรกิจในต่างประเทศ แต่ความเสี่ยงจากนโยบายรัฐจะยังกดดันราคาหุ้นให้ขึ้นได้จำกัด แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 35.25 บาท”
ปี 2025 ดีต่อเนื่อง
จากต้นทุนพลังงานที่ลดลง รวมถึงแนวโน้มการดำเนินงานจากบริษัทร่วมที่ดีขึ้น ฝ่ายวิเคาาะห์ปรับประมาณการธุรกิจไฟฟ้าในไทยลงจากเดิมจากปรับลดราคาค่าไฟลงจากเดิม ภายใต้สมมติฐานใหม่ คาดกำไรสุทธิจะเพิ่ม 25% เป็น 5,096 ล้านบาท
5 ปัจจัยฉุดราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า
1.ราคาก๊าซธรรมชาติปรับขึ้น
2.ค่า Ft ลดลง ส่งผลต่อราคาขายไฟฟ้า
(ค่า Ft ภาครัฐจะทบทวนปีละ 3 ครั้ง)
3.การหยุดซ่อมบำรุงนอกแผน
4.ค่าเงินบาทอ่อนกระทบภาระหนี้เงินกู้สกุลต่างประเทศเพิ่มขึ้น
(ในรูปแบบเงินบาท)
5.อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นกระทบดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น
(ธุรกิจไฟฟ้ากู้ยืมเงินเพื่อสร้างโครงการใหม่ๆ โดยเฉพาะในต่างประเทศ)
PTTGC ขาดทุนลดลง
บล.ลิเบอเรเตอร์ คาดงบไตรมาส 1/68 ทาง PTTGC ยังขาดทุนจากบางหน่วยธุรกิจที่ยังคงอ่อนแอ แต่ขาดทุนลดลงจากรายการพิเศษที่น้อยลง โดย อะโรเมติกส์และฟีนอล ยังอ่อนแอแต่โพลีเมอร์และโอเลฟินส์ เริ่มดีขึ้น รายละเอียดดังนี้
กลุ่มโรงกลั่น ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะ ดีเซล ปรับลง 0.83 เหรียญต่อบาร์เรล และ LSFO ปรับลง 5.12 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ได้ส่วนช่วยจาก Crude premium ที่ลดลง 1 เหรียญทำให้ GRM คาดจะทรงตัวที่ 3.64 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่การใช้กำลังการกลั่นเพิ่มจาก 95% เป็น 103%
กลุ่มอะโรเมติกส์ การใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 84% แต่ส่วนต่างราคาโดยเฉพาะ BZ ที่ยังอ่อนแอตามอุปสงค์ที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงอุปสงค์ฟีนอลด้วยส่งผลให้ Market P2F คาดปรับลดลง
กลุ่มโอเลฟินส์และโพลีเมอร์ คาดดีขึ้นโดยโอเลฟินส์ดีขึ้นจากสัดส่วนการใช้อีเทนเพิ่มขึ้นเป็น 38% จาก 33% ในไตรมาส 4/66 ส่วนโพลีเมอร์ดีจากส่วนต่างราคาปรับขึ้นและอัตรากำลังกรผลิตเพิ่มเป็น 109% จาก 97% ในไตรมาส 4/66 รวมถึงไม่มีการคิดต้นทุนย้อนหลังตามการปรับราคาก๊าซขึ้นให้ PTT 3%เข้ามา
ส่วน Allnex นั้นคาดปริมาณขายเพิ่มขึ้น 3% จากผ่านช่วง low season ทำให้การดำเนินงานดีขึ้น
การดำเนินงานปกติจะขาดทุนอยู่ -3,623 ล้านบาท แต่จะมีรายการพิเศษ 757 ล้านบาท ซึ่งขาดทุนสต็อก 71 ล้านบาท, กำไรจากการป้องกันความเสี่ยง 678 ล้านบาท และกำไรอัตราแลกเปลี่ยน 150 ล้านบาท ทำให้บรรทัดสุดท้ายจะมีผลขาดทุน -2,865 ล้านบาท ลดลงจาก 11,738 ล้านบาทในไตรมาส 4/66 จากการตั้งด้อยค่าเงินลงทุน PTTAC และ Vencorex
“แนวโน้มไตรมาส 1/68 คาดยังขาดทุนจากบางกลุ่มที่ยังอ่อนแอตามอุปสงค์ที่ฟื้นตัวช้า ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ยังปรับขึ้นได้ไม่มาก แม้จะเริ่มเห็นผลบวกจากสัดส่วนการใช้อีเทนเพิ่มขึ้น และตัดธุรกิจที่กดดันออกไปแต่ยังไม่เพียงพอที่ทำให้พลิกมากำไรได้ ปัญหาการขึ้นภาษีจากสหรัฐแม้จะไม่ส่งผลกระทบทางตรงกับ PTTGC แต่อาจกระทบต่อการขายของในจีน รวมถึงการนำเข้าวัตถุดิบไปผลิตอาจกระทบอุตสาหกรรมได้ แนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่หดตัว ทำให้ราคาหุ้นตอบสนองเชิงลบต่อการดำเนินงานที่ยังอ่อนแอ กลยุทธ์ลงทุนเน้นเกาะไปกับการฟื้นตัวของราคาผลิตภัณฑ์ และตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่จะกลับมาฟื้นตัว ข้อดีคือ Valuation ซื้อขายบน P/Bปีนี้เพียง 0.3 เท่า บลูมเบิร์ก ให้ราคาเป้าหมาย 22.76 บาท”
ปี 68 ฟื้นตัว
การใช้ก๊าซอีเทนมาเป็นต้นทุนการผลิตนั้น ปกติบริษัทจะใช้ 1.5-1.6 ล้านตันต่อปี แต่สามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้ถึง 2.5 ล้านตัน โดยจะซื้อจาก PTT ราว 2 ล้านตัน ส่วนที่ขาดบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะนำเข้ามาเพิ่มเติม
ราคาขายก๊าซอีเทนนั้น ได้มีข้อสรุปกับ PTT แล้วว่าจะปรับราคาขึ้น 3% แต่จะได้ปริมาณเพิ่มขึ้นราว 14% มาชดเชย ซึ่งจะมีการบันทึกราคาใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 4/67 เป็นต้นไป และมีคิดย้อนกลับตั้งแต่ต้นปี 67 และคาดใช้เป็นสูตรคำนวณต้นทุนสำหรับปีหน้าเป็นต้นไป
แนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์คาดจะทรงตัวถึงดีขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากยังมีอุปทานใหม่ทยอยออกมา ส่วนการดำเนินงานของ Allnex คาดปริมาณขายเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน ขณะที่ EBITDA ทรงตัว แต่คาดจะมีส่วนบวกคือไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจาก Vencorex ที่มีราว 5,000 ล้านบาทต่อปี
รายการพิเศษก้อนใหญ่ๆทางลบไม่น่าจะมีอีกแล้ว และมีส่วนเพิ่มหากสามารถขาย Vencorex ออกไปได้ ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าจะกลับมามีกำไรได้อีกครั้ง
PTT ไม่สวย - PTTEP ดีไม่เท่าเดิม!
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาด PTT แนวโน้มไตรมาส 1/68 ลดลงจากปีก่อน แต่คาดจะสามารถฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า เพราะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนมากไม่เกิดขึ้น หลังจากเงินบาทพลิกเป็นแข็งค่า, ค่าใช้จ่ายลดลงตามฤดูกาล, ค่าใช้จ่ายพิเศษของบริษัทลูกลดลง ซึ่งน่าจะเพียงพอชดเชยผลกระทบจากการชะลอตัวของค่าการกลั่น, ต้นทุนน้ำมันสูงขึ้น, Spread ปิโตรเคมีอยู่ระดับต่ำได้
ในปี 2568 คงประมาณการกำไรสุทธิที่ 9.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน หนุนจากปริมาณขายของธุรกิจต้นน้ำ, ธุรกิจก๊าซ, ธุรกิจค้าปลีก รวมทั้งการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย
คงคำแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม 35 บาท มองว่า PTT จะเป็นแหล่งพักเงินที่ดีช่วงตลาดหุ้นผันผวน เพราะโครงสร้างธุรกิจบูรณาการครบวงจร ช่วยให้ผลประกอบการผันผวนน้อยกว่าคู่แข่ง ฐานะการเงินแข็งแกร่ง
"PTTEP" คาดกำไรในไตรมาส 1/68 จะทำได้ 1.7 หมื่นล้านบาท ลดลง 9% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และ ลดลง -11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แม้ผลประกอบการไม่เด่นเทียบกับช่วงก่อนหน้า แต่ถือว่าไม่ได้น่าตื่นเต้นเพราะสอดคล้องกับมุมมองก่อนหน้า
กำไรที่ลดลงจาก YoY ตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่ QoQ จะต่ำลงเพราะเป็นช่วงหยุดซ่อมบำรุงแหล่งผลิตในประเทศ, รอบส่งมอบน้ำมันของโครงการในแอฟริกา, ต้นทุนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายหลุมสำรวจเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้คงมีมุมมองลบต่อตลาดน้ำมันเพิ่มขึ้นหลังสหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีแรงกว่าคาดและไม่มั่นใจต่อกลยุทธ์บริหารอุปทานเพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดน้ำมันของ OPEC+ โดยปรับสมมติฐานน้ำมันปี 68-69 เป็น 65-68 เหรียญฯต่อบาร์เรล และปรับประมาณการกำไรปี 68-69 ลง 13-15% เป็น 5.7-5.8 หมื่นล้านบาท
คงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสมใหม่ 132 บาท เพราะ Valuation ไม่แพง, ROE สูงกว่าคู่แข่ง, Div. Yield สูง 6.5%, สถานะ Net Cash Company
OR กําไรกลับมาโต
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปี 68 ปีแห่งการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนหลังจากส่วนแบ่งตลาดรีเทลลดลงจาก 41% เทียบปี 65 เหลือ 34% ปีที่แล้ว โดย OR เน้นชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืน ผ่านกลยุทธ์การเปิดสถานีบริการใหม่ 100 แห่งเน้นพื้นที่ศักยภาพ และเสริมความแข็งแกร่งต่อระบบนิเวศธุรกิจทั้ง Oil และ Non-oil
พร้อมปรับปรุงภาพลักษณ์สถานีฯเพื่อดึงลูกค้า, จัดแคมเปญการตลาดที่ตรงจุด (Customize) เพื่อดึงลูกค้าที่หายไปกลับคืน และรักษาการเป็นผู้นําตลาดพาณิชย์ โดยเฉพาะน้ำมัน Jet ซึ่งเติบโตสูงตามจํานวนนักท่องเที่ยว ฝ่ายวิเคราะห์ประมาณการยอดขายปี 68 เติบโต 3.2% และปี 69 โต 3.6% สูงกว่าตลาดรวมที่เพิ่มขึ้น 2% หลังจากหดตัว 4% จากปี 67 ทําให้ส่วนแบ่งตลาดจะค่อยๆกลับคืนมา
คาดกําไรขั้นต้นต่อลิตรจะฟื้นตัวในปีนี้ หลังจากกําไรขั้นต้นต่อลิตรลดลงมากเป็น 0.83 บาทต่อลิตร ปีที่แล้วเราคาดว่าจะฟื้นตัวในปีนี้ นอกเหนือจากคาดขาดทุนสต๊อกน้ํามันลดลงแล้ว ยังเกิดจากการจัดการด้านขนส่งและคลังน้ำมันเพื่อลดต้นทุน และแรงกดดันจากภาครัฐในการควบคุมราคาขายปลีกน้ำมันลดลงหลังสถานะกองทุนน้ํามันฯดีขึ้น
กําไรธุรกิจ Lifestyle จะเพิ่มขึ้นตามยอดขายกาแฟและปีก่อนมีค่าใช้จ่ายพิเศษ OR จะเปิดร้านกาแฟอเมซอนใหม่ 285 แห่งในปีนี้ จากปีที่แล้วเปิด 281 แห่งช่วยให้ยอดขายกาแฟเพิ่มขึ้น หลังจากทําได้ 402 ล้านแก้วปีที่แล้ว รวมถึงขยายร้านสะดวกซื้อต่อเนื่องทําให้คาดว่ากําไรธุรกิจ Lifestyle จะเพิ่มขึ้น นอกจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเกิดจากปีก่อนมีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการยุติธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น ลดลง -442 ล้านบาทอีกด้วย
ความเสี่ยงตั้งด้อยค่าเงินลงทุนลดลง ขณะที่ถือครองเงินลงทุนที่มีศักยภาพสูง ปีที่แล้ว OR ตั้งด้อยค่าเงิน ลงทุนและมีส่วนแบ่งขาดทุนในธุรกิจต่างๆ ซึ่งเราคาดว่าผลกระทบในปีนี้จะลดลงมาก OR ยังถือครองเงินลงทุนศักยภาพสูง อย่าง ท่อส่งปิโตรเลียมไทย ถือหุ้น 40.5% OKJ ถือ 20% และ พีทีที ดิจิตัล ถือ 20%สร้างส่วนแบ่งกําไรที่ดี รวมถึงถือครองที่ดินทําเลดีทั่วประเทศมาอย่างยาวนานซึ่งบันทึกบัญชีด้วยราคาทุน ในปีนี้ OR ตั้งงบลงทุนใหม่ไว้สูง 1.9 หมื่นล้านบาท เฉลี่ย 9.8 พันล้านบาท/ปี ซึ่งรวมดีล M&AJVs ในธุรกิจ Lifestyle รวมถึง Virtual Banking
ฝ่ายวิเคราะห์คาดกําไรปี 68 เพิ่มขึ้น 23% เป็น 9.4 พันล้านบาท และปี 69 เติบโต 14% จากยอดขายน้ำมันและมาร์จิ้นฟื้นตัว กําไรธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้นตาม ยอดขายกาแฟเพิ่มขึ้นและไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ ส่วนแบ่งกําไรเพิ่มขึ้นจากการรับรู้กําไรเต็มปีของพี่พีทีที ดิจิตัล และ ส่วนแบ่งขาดทุนลดลงจากธุรกิจในเมียนมา ขณะที่กําไรปี 69 หนุนด้วยยอดขายน้ำมันและธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้นเป็นหลักตามการเปิดสถานีบริการและสาขาใหม่ต่อเนื่อง
คงคำแนะนํา “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 15.20 บาท ซึ่งวิธี SOTP มองว่า OR น่าสนใจจากกําไรกลับมาเติบโตในปีนี้ ควบคู่กับฐานะการเงินแข็งแกร่งมากด้วยเงินสดในมือ 4.7 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 4 บาท/หุ้น ถอเป็น 1 ใน 3 ของราคาหุ้น พร้อมทั้งการซื้อหุ้นคืน(หากเกิดขึ้น) รวมถึงการทําดีล M&A และลงทุนใหม่ ราคาหุ้นปัจจุบันไม่แพงด้วย PB 1.3 เท่า เทียบกับ ROE ที่เพิ่มขึ้นเป็น 9% และเงินปันผลราว 4%
"ปีนี้ OR ให้ความสําคัญกับการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมา ขณะเดียวกันคาดกําไรขั้นต้นต่อลิตรจะฟื้นตัวจากฐานต่ำปีที่แล้วซึ่งมีขาดทุนสต๊อกน้ำมัน กําไรจากธุรกิจ Lifestyleจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามยอดขายกาแฟ ตามการเปิดสาขาใหม่และปีก่อนมีค่าใช้จ่ายพิเศษ ความเสี่ยงการตั้งด้อยค่าเงินลงทุนลดลงสูง ซึ่งรวม M&A และ JVs ใหม่ ขณะที่ถือครองเงินลงทุนและสินทรัพย์ที่มีศักยภาพสูง รวมถึงคาดกําไรปี 2559 กลับมาเติบโต 23% และปี 2560 โต 14%ตามยอดขายน้ำมันและทํากําไรจากธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น กําไรกลับมาเติบโตควบคู่กับฐานะการเงินแข็งแกร่งมาก"
IRPC ไร้สัญญาณฟื้น
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส คาดว่า IRPC งบไตรมาส 1/2568 ขาดทุนสุทธิ 1,310 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิ 1,540 ล้านบาทในไตรมาส 1/67 และขาดทุนสุทธิ 1,120 ล้านบาทในไตรมาส 4/67 ผลประกอบการที่อ่อนแอมาจากค่าการกลั่นและสเปรดเคมีภัณฑ์ที่ยังอ่อนแอ และ cash cost ในการดำเนินงานสูงที่ 6–7 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม บางส่วนได้รับการชดเชยด้วยกำไรจากสต๊อกน้ำมันคาดว่าจะอยู่ที่ 597 ล้านบาท
คาดการณ์ Market GRM ในไตรมาส 1/68 ไว้ที่ 3.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 47% จากปีก่อน และลดลง 47% จากไตรมาสก่อน ส่วน Market GIM คาดไว้ที่ 1.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 3%จากปีก่อน และลดลง 3%จากไตรมาสก่อน ด้าน Total accounting GIM เท่ากับ 7.3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 45% จากปีก่อนและลดลง 27% จากไตรมาสก่อน ต่ำกว่าระดับคุ้มทุนที่ประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
แนวโน้มยังท้าทาย คาดว่าค่าการกลั่นในไตรมาส 2/68 อ่อนตัวลง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัวช้าในจีนและยุโรป บวกสงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น และกำลังการผลิตโรงกลั่นเข้ามาเพิ่มสูงถึงประมาณ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนใหญ่มาจากจีน ในช่วงไตรมาส 2/68 ค่าการกลั่นน้ำมัน Jet อยู่ที่ 12.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เปลี่ยนแปลง -5% , ดีเซล อยู่ที่ 13.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เปลี่ยนแปลง -4% และเบนซิน อยู่ที่ 8.2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เปลี่ยนแปลง +7%
ธุรกิจปิโตรเคมีเผชิญกับอุปทานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 68-69 โดยเฉพาะในจีนที่จะมีภาวะอุปทานล้นเกิน ขณะเดียวกันอุปสงค์ถูกกดดันจากสงครามการค้าที่รุนแรง ทำให้มีโอกาสสูงที่จะจะส่งออกปิโตรเคมีส่วนเกินออกมายังตลาดอาเซียนมากขึ้น ซึ่งจะกดดันมาร์จิ้น
มีความเป็นไปได้ที่จะตั้งด้อยค่าการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทย่อย ประมาณ 4,000 ล้านบาท และการปิดถาวรของหน่วยผลิต PE/PP compound เบื้องต้นคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 68 เนื่องจากส่วนต่างกำไรลดลงต่ากว่าต้นทุนผันแปร
คงคำแนะนำ Fully Valued ให้ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 0.70 บาท อิง P/BV ที่ 0.24 เท่า ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี68 ลดลง 118% และปี 69 ลดลง 106% โดยปรับลดสมมติฐาน Market GRM ลง 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จาก 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลปีนี้ เหลือ 4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลปี69