การคาดคะเนสำหรับปีมะเมีย
ประเด็นที่ครอบงำวงการเศรษฐกิจเมื่อปีที่แล้ว มีแนวโน้มจะดำเนินต่อในปีนี้ เป็นอีกครั้งที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความวุ่นวายที่ไม่มีวันจบสิ้น
โดย...ธีระ ภู่ตระกูล CFP นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย
โดยปกติผมไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์มากนัก แต่ปีนี้ผมไม่สามารถอดใจตนเองได้ ดังนั้นผมเลยเข้าไปค้นหาใน Google เพื่อดูคำทำนายในปีมะเมีย จากสิ่งที่นักโหราศาสตร์หลายคนได้คาดการณ์ไว้เห็นได้ชัดว่านี่คือปีแห่งความมุ่งมั่น ความอดทน พละกำลังและจิตวิญญาณที่แท้จริง ในปีนี้มีเพียงแค่สองทางเลือก เข้าร่วมการแข่งขันหรือหากไม่งั้นคุณจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ปีนี้ไม่มีการนั่งอยู่บนรั้วและเดินสายกลาง มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เพื่อนของผมในพรรคประชาธิปัตย์เลือกที่จะคว่ำบาตรก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น
นอกจากนี้ปีมะเมียยังเป็นปีสำหรับผู้นำที่จะสร้างความแตกต่าง แต่มันไม่ได้หมายความว่าคนที่คิดต่างจะถูกทอดทิ้ง เนื่องจากสนามแข่งจะมีจำนวนผู้ชมนับล้านที่เพลิดเพลินกับความตื่นเต้นและสปิริตของการแข่งขัน คำทำนายเหล่านี้จะแม่นยำหรือไม่เห็นทีจะต้องรอดู เวลาเท่านั้นจะเป็นคำตอบ
แต่เมื่อผมมองลึกลงไปในปี 2557 ผมคาดว่าเหมือนหรือมีความรู้สึกว่าเหมือนกับปี 2556 อย่างมาก ประเด็นต่างๆ ที่ครอบงำวงการเศรษฐกิจเมื่อปีที่แล้ว มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อในปีนี้ เป็นอีกครั้งที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติของความวุ่นวายที่ไม่มีวันจบสิ้น นอกจากนี้เศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วเติบโตช้า และเศรษฐกิจประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่ระหว่างวิกฤติภาวะเงินฝืดกับภาวะถดถอยของเศรษฐกิจ คำนิยามเหล่านี้ อาจดูเหมือนเป็นคำพูดเดิมๆ แต่ผมคิดว่าผมเคยดูหนังเรื่องนี้มาแล้ว ทุกอย่างดูมืด 8 ด้าน และทุกคนกำลังเดินไปสู่ทางหนีตายพร้อมๆ กัน
ที่ผ่านมา ความผันผวนของตลาดทำให้นักลงทุนส่วนมากตัดสินใจโดยใช้อารมณ์ที่ไร้เหตุผล ผลที่ได้รับคือ นักลงทุนมักจะซื้อแพง ขายถูก ซึ่งขึ้นอยู่กับความรู้สึกแทนที่จะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การลงทุนที่ได้มีการพิสูจน์มาแล้ว สำหรับการลงทุนระยะยาวลองมองดูช่วง 14 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในการไหลเข้าตลาดหลักทรัพย์ของตราสารทุน หรือการซื้อหุ้นเป็นจำนวนมากเกิดขึ้นใน 3 เดือนแรกของ พ.ศ. 2543 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ตลาดอยู่ที่จุดสูงสุด และหนึ่งในการไหลออกครั้งใหญ่ที่สุดของตราสารทุน เกิดขึ้นระหว่างเดือน 6-9 ของปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ตลาดตกต่ำที่สุด และในช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ การเทขายหุ้นที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี พ.ศ. 2551 เพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ตลาดตกต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2552
จากประสบการณ์ของผม ผมมองว่า หากคุณเดินตามฝูง กล่าวคือ คุณตัดสินใจตามกลุ่มคน คุณมีโอกาสขาดทุนมากกว่ากำไร โดยเฉลี่ย ร้อยละ 80 ของนักลงทุนจะไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากพวกเขาใช้ “สัญชาตญาณในการเดินตามฝูง (Herd instinct)” ภาวะตกต่ำของตลาด และความผันผวนของตลาด เป็นเรื่องปกติ โดยเกิดขึ้นประมาณทุกสองปีมีครั้งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2485 นักลงทุนที่ฉลาดจะทราบว่า ภาวะตลาดตกต่ำและความผันผวนของตลาด จะเป็นช่วงโอกาสที่ดีในการซื้อ โดยการเพิ่มมูลค่าการลงทุนหลังช่วงตลาดตกต่ำ คุณจะได้รับประโยชน์จากราคาหุ้นที่ถูกลง กลยุทธ์นี้เรียกกันว่า Dollar Cost Averaging คุณไม่มีเหตุอะไรที่ต้องวิตกกังวลหากพอร์ท การลงทุนของคุณมีการกระจายการลงทุนที่ดีและคุณมีเป้าหมายที่จะลงทุนระยะยาว คุณควรจะเปลี่ยนสถานการณ์ให้เป็นโอกาสสำหรับคุณ ลองทำตัวสวนกระแสกับคนอื่นสักครั้ง ตามที่ Benjamin Graham นักลงทุนชื่อดัง เคยพูดไว้ว่า “นักลงทุนที่ฉลาด จะต้องมีความสามารถ/อำนาจจิต พอที่จะไม่ทำตามฝูงชน”
ในหนังสือชื่อดังของเขาสองเล่ม กล่าวคือ Security Analysis และ The Intelligent Investor, เขาได้เขียนไว้ว่า ผู้ถือหุ้นควรจะนึกว่าตนเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจ และไม่ควรจะวิตกกังวลเกี่ยวกับความแปลผันของราคาหุ้น นักลงทุนไม่ผิดและไม่ถูกหากคนอื่นเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเขา เขาทำถูกเพราะข้อมูลและการวิเคราะห์ของเขาถูกต้อง ในแต่ละวันที่มีการซื้อขาย นักลงทุนจะได้รับการเสนอราคาซื้อและราคาขายของหุ้นของเขา นักลงทุนมีอิสรภาพในการเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับราคาหุ้นที่ได้รับการเสนอ นักลงทุนไม่ควรให้สถานะของตลาดเป็นตัวกำหนดมูลค่าของหุ้นของเขา เขาควรจะได้กำไรจากความผิดพลาดของตลาด แทนที่จะร่วมในความผิดพลาดดังกล่าว นักลงทุนจะได้ประโยชน์มากกว่าในการเฝ้าดูผลดำเนินการของบริษัทของเขา และรอรับเงินปันผล แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไร้เหตุผลของตลาด
ผู้อ่านสามารถส่งคำถามเกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคลให้ผมได้ที่ [email protected]