ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน (ตอนที่ 3)
โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์
โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์
ในตอนแรก ผมพูดถึงบัณฑิตที่จบปริญญาตรีหมาดๆ เพิ่งเริ่มทำงาน ซึ่งปัจจุบัน เงินเดือนขั้นต่ำที่รัฐกำหนดไว้ ที่ 15,000บาทต่อเดือน บางคนจบคณะที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานมากๆ ก็อาจะเริ่มต้นที่ 20,000-25,000 เลยทีเดียว ซึ่งคนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยเคยชินกับการจับจ่ายจากเดิมที่เคยใช้เงินของบุพการี จึงไม่รู้ซึ่งถึงความลำบากว่า กว่าที่คุณพ่อคุณแม่จะหาเงินมาได้แต่ละบาทท่านต้องตรากตรำทำงานหนักเพียงไหน
ลูกๆ ก็ไม่รู้ กูใช้เพียงอย่างเดียว หรือเวลาเดินทางไปไหนมาไหน คุณลูกใช้รถไฟฟ้า หรือ TAXI ส่วนคุณพ่อคุณแม่ที่ฐานะไม่ค่อยดีใช้รถเมล์ เงินที่ประหยัดได้ ก็ประเคนเป็นค่าใช้จ่ายให้กับลูกๆ ของตนไม่ว่าจะเป็นค่าเล่าเรียน ค่าตำรับตำราและค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ นี่ยังไม่รวม พ่อแม่ที่ลูกๆเป็นแฟนคลับดารานักร้อง ที่เอาเงินพ่อแม่ไปซื้อของให้ดารานักร้องขวัญใจตัวเอง และค่าบัตรคอนเสิร์ตที่ตามไปดูทุกๆรอบ หรือขอสตางค์ซื้อของที่อยากได้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ให้ก็จะงอน
จนในที่สุดคุณพ่อคุณแม่หลายท่านก็ต้องใจอ่อนยอมซื้อให้ พอถึงคราวที่ต้องทำงานหาเงินใช้เอง หลายๆคนยังคุ้นเคยกับการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ทำให้ชักหน้าไม่ถึงหลัง
บางครั้งยังต้องขอเงินพ่อแม่มาเสริมให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายของตน เห็นเพื่อนที่ทำงานใช้โทรศัพท์แพงๆ รุ่นที่ออกใหม่ หรือ เพื่อนมี Tablet ใช้ก็ต้องหามาให้ใช้ เดี๋ยวจะน้อยหน้าเพื่อนๆ ที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งนอกจากนิสัยของเขาเองแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะสังคมไทยที่พ่อแม่เลี่ยงดูลูกแบบตามใจมากไป ปกติผมไม่ชอบวัฒนธรรมของชาวตะวันตกเลย
แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมต้องยอมรับว่าเป็นวัฒนธรรมที่ดีมาก คือการให้ลูกๆของตนทำงาน Part Time ช่วง Summer ซึ่งเป็นการสอนเด็กๆ ให้เรียนรู้เรื่องการทำงานและคุณค่าของเงิน เด็กๆฝรั่งที่อยากได้ Gadget ต่างๆ ก็ต้องอาศัยเงินออมและรายได้จากการทำงาน Part Time ในขณะที่เด็กไทยที่ใช้มือถือแพงๆ หรือสินค้าแพงๆอื่นๆ ก็เป็นเงินของผู้ปกครองทั้งนั้น
วัฒนธรรมดีดีแบบนี้ ทำไมสังคมไทยไม่นำมาใช้ แต่วัฒนธรรมที่ผมรู้สึกไม่เหมาะสมกับสังคมไทย เช่น กอดจูบกันในที่สาธารณะ ฯลฯ เด็กรุ่นใหม่ชอบกันจัง อีกส่วนหนึ่งก็ต้องโทษระบบการศึกษาของไทยเรา ที่ไม่นำความรู้เรื่องการออมเงินมาบรรจุเข้าไปในหลักสูตรตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น เพราะว่าเด็กๆบางคนอาจจะเรียนจบแค่มัธยมต้น และช่วงวัยนี้เป็นวัยที่ยังพอจะดัดนิสัยได้ง่าย พอเป็นมัธยมปลายหรือระดับมหาวิทยาลัยแล้วก็จะดัดยากยิ่งขึ้น
ผมขอเรียกร้องให้ท่านรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ได้กรุณาลงมาดูเรื่องนี้ด้วย เพาะว่าเมื่อเด็กรุ่นใหม่นี้เข้าใจแนวคิดเรื่องการออมเงินที่ถูกต้องนั่นหมายถึง การสร้างหนี้จากการจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่ไม่จำเป็นจะลดลง ปัญหาหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่อยู่ที่ 85 % ในขณะนี้ ซึ่งนับว่าสูงเป็นอันดับที่2ใน Asean รองจากมาเลเซียเท่านั้น จะค่อยๆทยอยลดลง ระดับการออมของคนในชาติสูงขึ้น
อย่าลืมนะครับว่าประเทศเราได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาหลายปีแล้ว เรามีคนไทยที่มีอายุเกิน 60 ปี มากกว่า 10 % แล้ว และจากการคาดการณ์ของบางหน่วยงาน เราจะมีผุ้สูงวัยมากกว่า 20% ในปี พ.ศ. 2563 เมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะอยู่ในสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะคนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น จากเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นและรายได้ที่สูงขึ้น รวมทั้งความรู้ทางโภชนาการที่ดีขึ้น ทำให้คนไทยอยู่ดีกินดีมากขึ้น
เรากลับมาเรื่องค่าใช้จ่ายที่คุยกันไว้ในตอนที่ 2 เรื่องค่าเช่าห้องพักสำหรับคนที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับทางบ้าน ผมแนะนำว่าควรจะยอมใช้เวลา 1 วันเต็มๆ เดินรอบๆที่ทำงานของคุณภายในรัศมี 1 กิโลเมตร ดูว่ามีอพาร์ตเม้นท์หรือบ้านเช่าที่อยู่ในกรอบค่าเช่าที่กำหนดไว้ ในที่นี้คือ 3,000 บาท หรืออาจจะมากกว่านั้นนิดหน่อย สำหรับคนที่เงินเดือนช่วง 16,000-20,000 บาท โดยเลือกที่คุณชอบมากที่สุด
อย่าลืมนะครับ คุณจะต้องอยู่ห้องพักนี้ ตราบที่คุณยังทำงานที่นี่ และระดับเงินเดือนคุณยังไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งอาจจะ 2-3 ปี สำหรับคนที่มีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000บาท และผมกำหนดรัศมีไว้ 1 กิโลเมตร เพราะผมเชื่อว่าอยู่ในวิสัยของคนที่สามารถจะเดินได้
คุณลองคิดดูสิครับ ถ้าคุณยอมเดิน คุณจะประหยัดค่าเดินทางได้ประมาณ 1,000-2,000 บาทต่อเดือน คุณเอาค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้ไปจ่ายค่าเช่าห้องพักที่ดีขึ้นก็ยังได้ การเดินมากๆยังทำให้คุณตัดปัญหาเรื่องอ้วนลงพุงได้อีก เพราะว่าคุณเดินไปกลับวันละ 2 กิโลเมตร จากห้องพักกับที่ทำงาน ไม่ต้องเสียเงินไปซื้ออาหารเสริม หรืออะไรก็ตามเพื่อลดความอ้วน สุขภาพก็จะดีขึ้น ประหยัดค่าหยูกยา ค่ารักษาพยาบาลได้อีก เพราะว่าเป็นที่รู้ๆกัน ค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบัน ยิ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนยิ่งแพงมาก ทำสุขภาพให้แข็งแรงเป็นการช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า ทำให้มีเงินออมมากขึ้น การเป็นว่าที่เศรษฐีก็จะเร็วขึ้น เนื้อที่หมดแล้วเอาไว้ต่อตอนที่ 4 กันนะครับ