ไม่มีก็ดีแล้ว
อย่าได้แปลกใจเลยว่าทำไมทุกยุคสมัยถึงมีข้อเสนอให้เปิดบ่อนขึ้นมาอยู่เสมอ แม้กระทั่งยุคเขียวเสียดดอย
โดย...ณ กาฬ เลาหะวิไลย
อย่าได้แปลกใจเลยว่าทำไมทุกยุคสมัยถึงมีข้อเสนอให้เปิดบ่อนขึ้นมาอยู่เสมอ แม้กระทั่งยุคเขียวเสียดดอย โดยยกเหตุจะได้มีเงินตรามาใช้จ่าย เอาเงินที่เคยไปเล่นต่างประเทศกลับเข้ามา
แต่สิ่งที่ไม่ค่อยพูดถึงก็คือ ผลดีของการไม่มีบ่อน ซึ่งปรากฏหลักฐานมาตั้งแต่อดีต
ตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ เคยเปิดบ่อนเสรี แต่ถูกทยอยปิดในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทั้งที่สมัยนั้นเงินบ่อนก็เป็นเงินรายได้เข้าพระคลังอย่างมาก
แต่รัชกาลที่ 5 ทรงปิดบ่อน เพราะมีผลดีมากกว่าผลเสีย
ผลดีของการปิดบ่อนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรมากมาย อาทิ จากพระยาสุขุมนัยวินิต ข้าหลวงเทศาภิบาล มณฑลนครศรีธรรมราช ที่ชี้แจงว่า หลังการปิดบ่อนโจรผู้ร้ายลักเล็กลักน้อยสงบไปมาก
ส่วนการขายตัวเป็นทาสเป็นลูกจ้างน้อยก็ลงไปในทันที การทะเลาะของผัวเมียเรื่องเล่นไพ่นั้นก็สงบลง
นอกจากนั้นบรรดาพ่อค้ายังยืนยันว่า หลังปิดบ่อนการค้ามีความมั่นคงขึ้น เมื่อทำสัญญากันแล้วก็ไม่บิดพลิ้ว ต่างกับช่วงที่มีการเปิดบ่อนมักจะเกิดปัญหาไม่ทำตามสัญญา
ทั้งหมดคือบันทึกประวัติศาสตร์ เป็นประจักษ์พยานถึงผลดีจากการปิดบ่อน
เราขึ้นชื่อในเรื่องชอบเล่นพนันมาตั้งแต่โบราณ ตั้งแต่อยุธยาโน้นก็มีเอกสารบันทึก ของ มองสิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ (Monsieur De La Loubere) ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ส่งเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ความว่า
"ชาวสยามอยู่ข้างค่อนรักเล่นการพนันเสียเหลือเกิน จนถึงจะยอมผลาญตัวเองให้ฉิบหายได้ ทั้งเสียอิสรภาพความชอบธรรมของตัวหรือลูกเต้าด้วย
ในเมืองนี้ใครไม่มีเงินพอจะใช้เจ้าหนี้ได้ก็ต้องขายลูกเต้าของตัวเองลงใช้หนี้สิน และถ้าแม้ถึงเช่นนี้แล้วก็ยังมิพอเพียง ตัวเองก็ต้องกลายตกเป็นทาส การละเล่นพนันที่ไทยรักเป็นที่สุดนั้นก็คือติกแตก ชาวสยามเรียกว่าสกา..."
เฉพาะไม่มีบ่อน ก็พนันกันท่วมบ้าน ท่วมเมืองแล้ว ทั้งแทงหวย แทงบอล แทงหุ้น ฯลฯ พนันกันเป็นสายเลือด
ถ้าขืนเปิดบ่อนอีก มีหวังได้ฉิบหายไร้ขีดจำกัด