การเป็นนักลงทุนที่ชาญฉลาด (ตอนที่ 10)
โดย ...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์
โดย ...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์
สัปดาห์ก่อนผมพูดถึงการหา TIMING ในการเข้าลงทุนในหุ้นที่เราคัดเลือกได้จากการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นวิธี TOP DOWN หรือ BOTTOM UP แล้ว โดย INDICATOR ตัวแรกของการวิเคราะห์โดยการดูกราฟที่เรียกเป็นศัพท์ทางการหน่อยว่า TECHNICAL ANALYSIS ซึ่งผมคุยค้างไว้ คือ ตัว MOVING AVERAGE (MA) ปกติเวลาที่ราคาหุ้นอยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ย หมายถึงยังดูไม่ค่อยดี ยิ่งถ้าราคาหุ้นอยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ยทั้ง 5 ยิ่งแสดงว่าหุ้นตัวนั้นอยู่ในภาวะ BEARISH หรือภาวะหมี คืออยู่ในแนวโน้มไม่ดี
ในทางตรงกันข้าม ขณะที่ราคาหุ้นตัวใดอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยทั้ง 5 เล้น และค่าเฉลี่ยเหล่านั้นเรียงตัวโดยเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นอยู่ข้างบน แล้วไล่เรียงลำดับลงมาจนถึงเส้นระยะยาวที่สุด ในที่นี้คือ เส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่สั้นที่สุดที่ผมใช้ อยู่บนสุด ตามมาด้วย 10, 25, 75 วัน โดยเส้น 200 วัน อยู่ล่างสุด รูปกราฟแบบนี้แหละเป็นรูปกราฟที่สวย เพราะว่าหุ้นตัวนั้นอยู่ในภาวะ BULLISH หรือภาวะกระทิง ยิ่งถ้าราคาหุ้นอยู่เหนือเส้น 5 วันไม่มากยิ่งดี แต่ถ้าราคาหุ้นอยู่เหนือเส้น 5 วันมากๆ แสดงว่าอาจจะอยู่ในภาวะ OVERBOUGHT ในช่วงสั้น คือเป็นภาวะที่มีการซื้อมากเกินไป อาจจะมีการปรับตัวลงในระยะสั้นได้ เป็นต้น
นอกจากนี้ เวลาราคาหุ้นตัดทะลุเส้นค่าเฉลี่ยลงไป จะทำให้แนวโน้มดูไม่ดี และเส้นค่าเฉลี่ยเส้นนั้นจะเป็นแนวต้าน เวลาที่หุ้นตัวนั้นมีราคาปรับตัวขึ้นมา ในทางกลับกัน ถ้าราคาหุ้นปรับตัวทะลุเส้นค่าเฉลี่ยขึ้นไป แสดงว่าเริ่มมีแนวโน้มที่ดี เส้นค่าเฉลี่ยเส้นนั้นก็จะกลายเป็นแนวรับไปโดยอัตโนมัติ และในกรณีเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดทะลุเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวขึ้นไป หมายถึงแนวโน้มได้เปลี่ยนไปในทางที่ดี และจุดตัดนั้นก็จะเป็นแนวรับที่ดีจุดหนึ่ง เวลาที่หุ้นตัวนี้มีราคาปรับตัวลงมา
ในทางกลับกัน ถ้าเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดทะลุเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวลงไป ก็แสดงว่าหุ้นตัวนี้เริ่มมีแนวโน้มไม่ดีเสียแล้ว และเมื่อหุ้นตัวนี้มีราคาปรับตัวขึ้นมา จุดตัดนี้ก็จะเป็นแนวต้าน เวลาที่หุ้นกลับขึ้นมา แล้วที่ผมพูดถึงกราฟรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน เส้นค่าเฉลี่ยทั้ง 5 เส้น ผมก็ดูทั้งรายวัน สัปดาห์ และรายเดือนด้วยเหมือนกัน เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ทั้งระยะสั้น กลาง และยาว บางครั้งผมก็ปรับแต่งจากเส้น 5 วัน เป็น 7 วัน เส้น 10 วัน เป็น 12, 13, หรือ 14 วัน จนกว่าจะเห็นว่าเส้นนั้นแสดงผลได้แม่นยำที่สุด โดยดูจากช่วงอดีตที่ผ่านมา มาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านพอจะเข้าใจถึงวิธีการใช้ INDICATOR ตัวนี้กันแล้ว คราวนี้เรามาดูตัวถัดไปกันครับ
2.MACD (MOVING AVERAGE CONVERGENCE DIVERGENCE) INDICATOR ตัวนี้เป็นตัวที่ดูไม่ยาก เพราะว่าประกอบด้วยเส้น 2 เส้นเท่านั้น โดยเส้นแรกคือ เส้น MACD ส่วนเส้นที่ 2 คือ เส้นสัญญาณ เมื่อเส้น MACD ตัดเส้นสัญญาณขึ้นเหนือแกนศูนย์นั้นคือสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะ BULLISH ในทำนองกลับกัน
ถ้าเส้น MACD ตัดเส้นสัญญาณลงที่เหนือแกนศูนย์ แสดงว่าภาวะ BEARISH มาแล้ว ยิ่งการตัดกันอยู่ใกล้กับแกนศูนย์ ความน่าเชื่อถือของสัญญาณที่เกิดขึ้นจะมีความแม่นยำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตัดขึ้นหรือตัดลงก็ตาม แต่ถ้าเป็นการตัดกันใต้เส้นศูนย์ ไม่ว่าจะเป็นการตัดขึ้นหรือตัดลงก็ตาม จากประสบการณ์ของผมบอกว่าความแม่นยำมีน้อย เช่นเดียวกัน เวลาดู MACD ผมก็ดูทั้งรายวัน สัปดาห์ และรายเดือน เพราะว่าจะทำให้เห็นภาพทั้งระยะสั้น กลาง ยาว โดยปกติผมจะเริ่มดูจากเส้นรายเดือนก่อน เพื่อที่จะดูภาพระยะยาว ถ้าระยะยาวบอกว่าดี ก็มาดูระยะกลางต่อ แล้วตามด้วยระยะสั้น ถ้าสั้น กลาง ยาว เส้น MACD ตัดเส้นสัญญาณขึ้นในระดับเหนือเส้นศูนย์ แล้วเส้นระยะสั้นเพิ่งจะตัดขึ้นด้วย ยิ่งดีใหญ่เลย แสดงว่าหุ้นตัวนี้เพิ่งส่งสัญญาณซื้อในระยะสั้น อย่างนี้คงต้องรีบลุยกันเลย บางทีท่านอาจจะมีคำถามว่า แล้วจะตั้งค่า MACD และเว้นสัญญาณเท่าใดจึงจะดี จากที่ผมเคยใช้เป็นประจำคือใช้ตามค่า DEFAULT ที่ APPLICATION ตั้งค่าไว้
3.RSI (RELATIVE STRENGTH INDEX) เป็นตัวที่บอกว่าราคาหุ้นตัวนั้นๆ OVERBOUGH หรือ OVERSOLD โดยปกติถ้าเส้น RSI ลงมาต่ำกว่า 30 แสดงว่าหุ้นตัวนั้นอยู่ในภาวะ OVERSOLD ในทางกลับกัน ถ้าเส้น RSI อยู่สูงกว่า 70 ก็แสดงว่าหุ้นตัวนั้นอยู่ในภาวะ OVERBOUGHT แต่จากประสบการณ์ของผมบอกว่า ถ้าท่านยึดติดตัวเลข 30 และ 70 ก็มีโอกาสซื้อแพงขายหมูได้ตามลำดับ
ดังนั้น ทางที่ดีก็ควรดูอดีตของค่า RSI สำหรับหุ้นตัวนั้นๆ ว่าเคยลงไปต่ำสุดและขึ้นไปสูงสุดแค่ไหน แล้วสามารถอยู่ในระดับนั้นๆ ได้กี่วัน เพื่อเลี่ยงการซื้อแพงและขายหมู และโดยปกติผมจะใช้ RSI 14 วันเป็นหลัก นอกจากนั้นผมยังสร้างเส้นค่าเฉลี่ยแบบ EXPONENTIAL 7 วัน โดยเมื่อ RSI ตัดทะลุเส้นค่าเฉลี่ยขึ้นไป เป็นการแสดงสัญญาณที่ดี ในขณะที่เมื่อเส้น RSI ตัดเส้นค่าเฉลี่ยลง ก็เป็นแนวโน้มที่ไม่ดีและอย่าลืมดูทั้งรายวัน สัปดาห์ และรายเดือน เพื่อดูทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เรามาดู INDICATOR ตัวถัดไปในสัปดาห์หน้ากันครับ