ผลกำไรของตลาดหุ้นไทย vs SET Index
โดย ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บลจ.ทาลิส
โดย ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บลจ.ทาลิส
ตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นไทยได้มีพัฒนาการในเชิงบวก โดยผลกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากระดับกำไรรวมประมาณ 2 แสนล้านบาท ในปี 2002 เติบโตเป็น 5.3 แสนล้านบาท ในปี 2005 หรือเติบโตกว่า 160% ในเวลาเพียง 4 ปีเท่านั้น ดัชนีตลาดหุ้นก็เช่นกัน SET Index ได้ทะยานขึ้นจาก 356 จุดไปอยู่ที่ระดับ 714 จุด หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 100%
ต่อมาในปี 2006 เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง และยังได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา (Hamburger Crisis) ทำให้กำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนไทยปรับตัวลงต่อเนื่องจนมาอยู่ที่จุดต่ำสุดในปี 2008 ที่ระดับประมาณ 3.1 แสนล้านบาท หรือปรับตัวลดลงประมาณ 40% ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวลดลงตามมาอย่างรุนแรงเช่นกัน ดัชนี SET Index ลดลงจาก 714 จุด ในปี 2005 เหลือเพียง 450 จุด ในปี 2008 หรือคิดเป็นการปรับตัวลดลงของดัชนีเกือบ 60%
หลังจากนั้น เศรษฐกิจของประเทศไทยก็เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยดูได้จากผลกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนเริ่มเป็นบวกอีกครั้งในปี 2009 และเป็นบวกติดต่อกันเป็นเวลายาวนานถึง 5 ปี กำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจาก 3.1 แสนล้านบาท มาเป็นเกือบ 7.9 แสนล้านบาท ในปี 2013 เพิ่มขึ้นประมาณ 150% ซึ่งถือเป็นกำไรที่เป็นระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นไทย ในขณะเดียวกันดัชนี SET Index เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 450 จุด มาปิดที่ 1,299 จุดในช่วงเวลาเดียวกัน เพิ่มขึ้นประมาณ 180%
ในช่วงปี 2014-2015 ที่ผ่านมา ผลประกอบการของตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงจาก 7.9 แสนล้านบาท มาเป็น 6.6 แสนล้านบาท ลดลงประมาณ 16% และดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจาก 1,299 จุด มาปิดที่ 1,288 จุด หรือปรับตัวลดลงประมาณ 1%
อย่างไรก็ตาม ในปี 2016 นี้ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะยังเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควรเมื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพของประเทศ แต่ทว่าผลประกอบการในตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวได้ดีขึ้นกว่าปี 2015 ที่ผ่านมา จากการที่มีหลายบริษัทและอุตสาหกรรมประสบกับสภาวะการขาดทุน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทการบินไทย จำกัด หุ้นกลุ่มพลังงานมีการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันลดลงจากปีที่แล้ว เราคาดว่ากำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2016 น่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2 แสนล้านบาท โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 7.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% และในปี 2017-2018 จากการที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศน่าจะเริ่มทยอยเกิดขึ้น คาดว่าจะส่งผลบวกต่อการดำเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยภาพรวม และคาดว่าจะส่งผลให้กำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนทำสถิติที่เคยได้ทำไว้ในปี 2014 ที่ 7.9 แสนล้านบาท เป็นมากกว่า 8 แสนล้านบาทได้ในปี 2017 และมากกว่า 9 แสนล้านบาทในปี 2018 ซึ่งน่าจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยโดยรวมและน่าจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน และมีแนวโน้มสูงมากที่ดัชนีหุ้นไทยจะทำจุดสูงสุดใหม่เช่นเดียวกัน