พรมแดนแห่งปีติ-สุข
การเดินทางไปอินเดียแบบดั้งเดิม มักมีข้อสงสัยไปกันทำไม ไปแล้วได้อะไร ทั้งที่ลำบากลำบน ผิดกับการท่องเที่ยวอื่นๆ
โดย..ณ กาฬ เลาหะวิไลย
การเดินทางไปอินเดียแบบดั้งเดิม มักมีข้อสงสัยไปกันทำไม ไปแล้วได้อะไร ทั้งที่ลำบากลำบน ผิดกับการท่องเที่ยวอื่นๆ
คำตอบก็คือ ไปอินเดียแบบดั้งเดิมจะได้ความปีติ-สุข แตกต่างไปจากเที่ยวแบบเพลิดเพลิน
ล่าสุดในโครงการบวชเพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ดำเนินการโดยมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม ใช้เวลาถึง 12 วัน เดินทางไป 4 สังเวชนียสถาน จากอินเดีย ข้ามไปเนปาล ถือเป็นช่วงเวลาที่มีค่า
เป็นช่วงเวลาแห่งปีติ-สุข ที่หาได้ยากในชีวิตปกติ
ปีติที่ได้เห็นพุทธสถานที่มีอยู่จริง แม้เวลาผ่านไปหลายพันปีก็ยังคงอยู่
เป็นการยืนยันถึงความเป็นหลักฐาน ความเป็นบรมครูขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า จากสถานที่ทรงดำเนิน ยืนยันถึงสัจจะแท้ในพระธรรมคำทรงสอนจากธรรมวินัยที่สืบต่อนับพันๆ ปี ยืนยันถึงคุณพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติสืบต่ออารยประเพณี แนวทางการดำเนินเพื่อความสิ้นไปแห่งทุกข์
เป็นปีติที่มีโอกาสได้พบศาสนาที่เป็นเหตุ ผล ไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับให้นับถือ แต่ท้าทายถึงผลที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติจริง
ส่วน สุข เริ่มได้รับจาก ทาน ที่ทำในหลากลักษณะ อาทิ บริจาคให้กับวัดไทยที่แวะเวียนไปบ้าง ให้กับเด็กน้อยยากจนชาวอินเดียบ้าง
ท่านอนิรุทธ์ ภิกษุอินเดีย ตั้งโรงเรียนรับเด็กยากจนมาดูแล สอนท่องพระปริตร เมื่อเด็กเหล่านั้นมานั่งในสนามหญ้า สวดมนต์ให้ฟัง ต่างได้รับขนม เงินรูปี เป็นสุขที่บังเกิดทันตาทั้งผู้ให้-ผู้รับ ไม่ต้องรอชาติไหนๆ
ถัดจากทาน เป็นสุขจากการรักษาศีล นับแต่ศีล 5 ของฆราวาส ศีล 8 ชีพราหมณ์ จนถึงศีล 227 ของพระภิกษุ เลือกรักษากันตามอัตภาพ
ศีล ไม่เพียงแต่ลดความอยาก ความต้องการจากชีวิตที่คุ้นชินมาเท่านั้น แต่ศีลยังเป็นพื้นฐานของสติ ก่อให้เกิดการระมัดระวังกาย วาจา ใจ ไม่ให้ละเมิด หรือทำให้ศีลล่วงไป
และสุดท้าย เป็นสุขจากการปฏิบัติสมาธิ-ภาวนา จากการสวดมนต์ที่วัดบ้าง และโดยเฉพาะในรถบัสที่นั่งไปในแต่ละวัน ที่หลังการสวดมนต์จะเป็นการนั่งสมาธิ-ภาวนา เป็นระยะๆ
จากนั้นใครง่วงก็นั่งหลับไป ถ้าไม่หลับก็เป็นโอกาสที่ภาวนาเพิ่ม อยู่กับลมหายใจ ตลอดการเดินทางอันยาวไกล
เมื่อลืมตาขึ้นมา สติจดจ่ออยู่กับคำอธิบายพุทธประวัติบ้าง อยู่กับอิริยาบถความเคลื่อนไหวบ้าง อยู่กับการรู้ทันความคิด หรือสิ่งสัมผัสที่ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บ้าง
สุขจาก ทาน-ศีล-ภาวนา ยังได้สร้างผล ย้อนกลับให้เกิดปีติที่ละเอียดกว่าเดิม เป็นปีติที่สัมผัสได้ เกิดเป็นระยะๆ
ไม่ว่าจะเป็นปีติเบื้องต้น ขนแขนลุกชัน ปีติที่ขยับขึ้นมาเป็นน้ำตาคลอ ขนลุก หรือปีติขนาดที่ร่างสั่นสะท้าน น้ำตาไหล
เป็นปีติ-สุขจากปัจจัยภายใน ไม่อาศัยสิ่งต่างๆ ภายนอกเป็นองค์ประกอบ เกิดจากผลการปฏิบัติ แม้จะเป็นเพียงการปฏิบัติในชั้นต้นๆ เท่านั้น เป็นปีติสุขสงบในช่วงเดินทาง และการไปกราบ 4 สังเวชนียสถาน
ปีติ-สุขที่เกิดแม้อธิบายคงรับรู้ไม่ได้ครบถ้าไม่ประสบกับตัว เป็นผลที่รู้เฉพาะตน ไม่มีกาลเวลา ไม่มีสถานที่
ปีติ-สุขที่ว่าเป็นอย่างไร เป็นความท้าทายให้ลองทำดูแล้วจะรู้ด้วยใจ