LTF ปีสุดท้าย…ควรอยู่ในสายตาอีกหรือไม่
คอลัมน์ เข็มทิศนักลงทุน
คอลัมน์ เข็มทิศนักลงทุน
เรื่อง LTF ปีสุดท้าย…ควรอยู่ในสายตาอีกหรือไม่
โดย กิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ
ผู้บริหารฝ่าย ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย
.........................................................................................
เป็นที่ทราบกันดีว่าปี 2562 นี้ เป็นปีสุดท้ายที่ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ส่วนกองทุนใหม่ที่จะมาแทนยังคงต้องรอดูความชัดเจนกันต่อไป
แต่ก่อนที่จะไปพูดถึงกองทุนใหม่ในปีหน้า เราควรหันมาพิจารณาก่อนว่าในระยะเวลาที่เหลืออีกไม่กี่เดือนในปีนี้ เราได้ลงทุนในกองทุน LTF ไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว
ด้วยความที่หลายบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ.ยังคงโปรโมทกองทุน LTF อยู่อย่างไม่ขาดสาย เพื่อดึงเม็ดเงินจากผู้ลงทุนให้ไหลเข้าสู่กองทุน LTF จึงมีผู้ลงทุนหลายท่านสอบถามเข้ามาว่ายังควรลงทุนในกองทุน LTF ต่อหรือไม่ กองทุนจะมีขนาดเล็กลงหรือเปล่า และจะกระทบต่อผลการดำเนินงานของกองทุนอย่างไร วันนี้ บลจ.กสิกรไทย จะมาไขข้อข้องใจให้ทราบกันครับ
แต่ก่อนอื่นอยากให้ผู้ลงทุนลองถามใจตัวเองใน 3 ประเด็น ดังนี้
(1) เรายังมีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นไทยในระยะยาวหรือไม่
(2) เรายังต้องการสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีอยู่หรือไม่
(3) เรามีทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจกว่าแล้วหรือไม่
สำหรับผู้ลงทุนที่ถือหน่วยลงทุนของกองทุน LTF มานานกว่า 5 ปี จะทราบดีว่าโอกาสขาดทุนจากการลงทุนมีน้อยมาก ซึ่งจากสถิติย้อนหลัง 20 ปีของการลงทุนในตลาดหุ้นไทย (SET Index) พบว่า หากถือหน่วยลงทุนมากกว่า 5 ปี จะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 9-10% ต่อปี แสดงให้เห็นว่า ยิ่งเราลงทุนเป็นเวลานานมากเท่าใด โอกาสที่เราจะขาดทุนจะยิ่งน้อยลงเท่านั้น ดังนั้น ระยะเวลาการถือครองของกองทุน LTF ที่เพิ่มจาก 5 ปีปฏิทิน เป็น 7 ปีปฏิทิน ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนมากขึ้นไปอีก
สำหรับผู้ลงทุนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้นั้น อยากให้มองเป้าหมายหลักจากการลงทุนในกองทุน LTF คือ การลงทุนที่มีโอกาสเติบโตไปกับหุ้นไทยในระยะยาว (อย่างน้อย 7 ปีปฏิทิน) ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีอยากให้มองเป็นผลพลอยได้มากกว่า
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนต้องไม่ลืมที่จะใช้หลักการทยอยลงทุน (แม้จะเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนแล้วก็ตาม) เพื่อลดความผันผวนจากการจับจังหวะตลาด ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก ดังจะเห็นได้จากสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่า ทุกครั้งที่กองหุ้นขายดีที่สุด คือ ตอนที่หุ้นราคาสูงที่สุด (อ้างอิงจาก Tim Hale, “Smarter Investing”, p.78)
สำหรับผู้ที่ถือจนครบเงื่อนไขแล้วคิดว่าควรถือต่อหรือขายคืน เรื่องแรกๆ ที่ควรนำมาพิจารณา ก็คือ เรายังพึงพอใจกับผลตอบแทนที่ได้รับอยู่หรือไม่ เรามีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินก้อนหรือเปล่า
หากยังไม่มีความจำเป็น และยังพอใจกับผลตอบแทนที่ได้รับ ก็ควรถือต่อไปเพื่อผลตอบแทนในระยะยาว โดยผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของกองทุน LTF ชี้ให้เห็นว่าการลงทุนระยะยาวในหุ้นโดยเฉลี่ยให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ
ผู้ลงทุนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่านับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป หากกองทุน LTF มีขนาดเล็กลงจะส่งผลเชิงลบต่อผลการดำเนินงานของกองทุน แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น ขนาดกองทุนจะเล็กลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และไม่ได้ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ลดลงแต่อย่างใด จึงไม่กระทบต่อผลการดำเนินงาน
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของกองทุนจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับประสบการณ์การบริหารของทีมผู้จัดการกองทุนและฝีมือในการคัดสรรหุ้นไทยที่มีศักยภาพสูง เพื่อมุ่งสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งคำนึงถึงการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมภายใต้ความผันผวนของตลาดด้วยเช่นกัน
กล่าวโดยสรุปแล้วกองทุน LTF ที่เราลงทุนอยู่ก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดเช่นเดิม จึงอยากให้ผู้ลงทุนมองกองทุน LTF เป็นการลงทุนที่เน้นสร้างผลตอบแทนจากหุ้นไทยในระยาว ที่แม้ว่าในระยะสั้นอาจได้รับความผันผวนบ้าง แต่ในระยะยาวก็มักจะให้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจอยู่เสมอ