โควิด 19 ผลงานที่มนุษย์สร้างขึ้น ?
โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์
***************
ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2563 มีบทความหนึ่งที่ออกมาเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลที่กระจายไปทั่วโลก เขียนโดย ดร.เจมส์ เฟตเซอร์ โดยมีภาพของกลุ่ม “แพทย์เพื่อข่าวสาร” อันประกอบด้วยแพทย์ 500 คนในเยอรมนี และภาพของกลุ่มแพทย์ชาวเสปนอีก 600 คนท่รวมตัวกันเรียกว่า “แพทย์เพื่อความจริง” ที่รวมกลุ่มกัน มาเปิดเผยเบื้องหลังเบื้องหลังเกี่ยวกับไข้หวัดมรณะตัวนี้
บทความนี้อ้างว่า สื่อสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับการแพทย์มากกว่า 5 แสนฉบับแตละสัปดาห์ได้เผยแพร่ข้อมูลนี้ไปสู่ประชาชน มีภาพของประชาชนออกมาชุมนุมในยุโรป เช่น ในวันที่ 29 สิงหาคม 2563 และมีประชาชนกว่า 12 ล้านคนร่วมลงชื่อ
มีชื่อของคนเขียนบทความนี้อย่างชัดเจน พร้อมกับมีรูปของกลุ่มแพทย์ส่วนหนึ่งที่ออกมาแถลงด้วย แสดงว่าข้อมูลนี้ไม่ใช่มั่ว เพราะมีแพทย์กลุ่มหนึ่งเปิดตัวรับผิดชอบร่วมกัน โดยยืนยันด้วยการพิศูจน์แล้วว่า โรคระบาดโควิด 19 ถูกมนุษย์สร้างขึ้นโดยตั้งใจเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง ถือว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่เราควรจะยุติอาชญากรรมครั้งนี้ โดยการเผยแพร่ความจริงให้ประชาชนทั่วโลกได้ทราบ
ในสหรัฐ มีบางฝ่ายเรียกโรคระบาดนี้ว่าเป็น PLANDEMiC โดยแผลงจากคำว่า PANDEMIC หมายถึงเป็นโรคที่มนุษย์วางแผนสร้างขึ้นมา เวลานี้มีการกล่าวหาว่า โรคระบาดนี้ถือว่าเป็น “อาชญากรรม” ที่มนุษย์สร้างขึ้น
มีการเปิดเผยว่า เชื้อโรคตัวนี้ถูกพัฒนาและทดลองกันมาตั้งแต่ปี 2558 ( สี่ปีก่อนพบเชื้อไวรัสตัวนี้ที่เมืองอูฮั่น ประเทศจีน ในปี 2562 ) และมีการขายชุดตรวจสอบเชื้อไวรัสตัวนี้นับล้านๆชิ้นในท้องตลาดในปี 2560 และ 2561
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้หลายปีมาแล้ว อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ (หลังพ้นหน้าที่) ได้ออกเดินสายไปทั่วโลก รวมทั้งแวะเมืองไทยด้วย เพื่อเตือนให้โลกตระหนักถึง “ภาวะโลกร้อนขึ้น” ซึ่งจะตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาทิ ภัยแล้ง น้ำท่วม พายุ มากขึ้นและรุนแรงขึ้น รวมทั้งอาจเกิดโรคระบาดร้ายแรง
สามปีที่แล้วเมื่อปี 2561 บิล เกต แห่งไมโคซอฟต์ได้ออกมาเตือนอีกว่า โลกจะเผชิญกับโรคระบาดร้ายแรงและอาจทำให้คนทั่วโลก 30 ล้านคนเสียชีวิต ในขณะที่ นางเมลินดา ภรรยา เสริมว่า โรคระบาดครั้งนี้จะเป็นภัยร้ายแรงต่อมนุษยชาติ และอาจทำให้คนตายถึง 30 ล้านคน เขาพูดเหมือนกับรู้ล่วงหน้า
หลังจากนั้นไม่ถึงปี โควิด 19 ถูกพบครั้งแรกอย่างเป็นทางการในปลายปี 2562 ( ค.ศ.2019) ที่เมืองอูฮั่น ในจีน และระบาดรุนแรงไปทั่วโลกตั้งแต่ปี 2020 หรือในทศวรรษใหม่ ตรงตามคำทำนายของบิลและเมอรินดา เกต (สงสัยว่า บิล เกต รู้ความลับหรือเปล่าว่ารัฐบาลอเมริกันกำลังคิดจะทำอะไร
ต่อมาเมื่อเดือนตุลาคม 2562 ( เพียง 1-2 เดือนก่อนโควิดระบาดที่เมืองอูฮั่น ) บิล เกต ได้จัดให้มีการซ้อมรับมือกับโรคระบาดร้ายแรง โดยใช้ชื่อการซ้อมนี้ว่า “อีเวนต์ 201” ที่นครนิวยอร์ค โดยใช้การซ้อมครั้งนี้เป็นต้นแบบที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกเตรียมรับมือกับโรคระบาดร้ายแรง
อีเวนต์ 201 ถูกเปิดโปงในเวลาต่อมาว่า คือ การวางแผนขายวัคซีนในปีต่อไป และเป็นการโปรโมตหุ้น นั่นเอง ทั้งนี้ หลังจากนั้นไม่นาน บิล เกต ได้เปิดเผยว่า เขารู้สึกตื่นเต้นว่า ปีหน้า (2563) จะเป็นปีที่ดีที่สุดที่มีการซื้อขายวัคซีนเพื่อสุขพลานามัยของโลก
บิล เกต เป็น “วัคซีน ดีลเลอร์ หมายเลข 1 ของโลก ” พอถึงตอนนี้ ผู้อ่านคงร้องอ๋อไปตามๆ กัน ว่าทำไมเขาถึงพูดถึงเรื่องนี้ เขาไม่ได้คิดห่วงคนอเมริกันหรือคนทั่วโลกหรอก แต่เป็นการปั่นหุ้น และราคาหุ้นวัคซีนจะเพิ่มขึ้นมากมายนั่นเอง เป็น “ ความปรารถนาดี + ผลประโยชน์ “
( ทำให้นึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในไทย ที่มีการ “ด้อยค่า” วัคซีนจีน และมีการ “เพิ่มค่า” วัคซีนอเมริกัน มีการปั่นหุ้นบางตัว ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลังได้ประโยชน์ทั้งทางการเมืองที่บ่อนทำลายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเป็นการปั่นหุ้นบางตัวด้วย )
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่สงสัยว่า สหรัฐน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการแพร่ระบาดของโควิด 19 กล่าวคือ เมื่อปี 2561 สถาบันจำลองแบบเชื้อโรค (The Institute for Disease Modeling) ของสหรัฐ ได้จัดทำวิดิโอสร้าง “แบบจำลอง” ว่า เกิดการแพร่ระบาด “ไข้หวัดนก” (bird flu) ในจีน โดยเริ่มจากเมืองอูฮั่น และระบาดไปทั่วโลก ทำให้คนตายหลายล้านคน และตั้งคำถามว่า “สหรัฐจะทำอย่างไร” กับเหตุการณ์นี้ ต่อมาก็เกิดการระบาดของไข้หวัดจริงในเมืองอูฮั่นจริง จนเป็นที่สงสัยกันว่า การจำลองแบบให้เกิดที่เมืองอูฮั่น ช่างจำลองได้ตรงกันความจริงในเวลาต่อมาเสียเหลือเกิน
ความบังเอิญอีกประการหนึ่ง คือ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 (2019) สหรัฐจัดสัมมนาที่เกาะกวม โดยมีพันธมิตรหลายชาติเข้าร่วมด้วย โดยช่วยกันประเมินสถานการณ์โลกที่จะเกิดขึ้นในปี 2020 เพื่อสหรัฐและพันธมิตรจะได้เตรียมตัวรับมือได้ถูก ที่น่าสังเกตคือ ผู้แทนสหรัฐตั้งคำถามขึ้นมาคำถามหนึ่งว่า หากเกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นในจีน สหรัฐและพันธมิตรจะเตรียมตัวรับมืออย่างไร
เป็นการทำนายที่แม่นเหมือนตาเห็น แสดงว่า ซี.ไอ.เอ. นี่เก่งจริง ๆ สามารถวิเคราะห์และประเมินสถานการณ่ล่วงหน้าได้อย่างถูกต้อง ซี.ไอ.เอ อาจได้ข่าวอะไรมาบ้าง (หรือเป็นคนทำเอง) จึงตั้งคำถามได้ตรงประเด็น และต่อมาอีก 1-2 เดือน ก็เกิดไวรัสโควิดระบาดในอูฮั่นจริง ( แต่กลับไม่รู้เรื่องทีนายอูซามะ บิน ลาเดน วางแผนโจมตีใจกลางประเทศเมื่อปี 2518 )
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มึคำถามเกิดขึ้น สรุปได้ คือ (1) เชื้อโรคร้ายนี้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ หรือมนุษย์สร้างขึ้น (2) หากมนุษย์สร้างขึ้น ใครเป็นคนสร้าง (3) คนสร้างมีวัตถุประสงค์อย่างไร (4) ผลที่ตามมาจากการระบาดของโคโรน่า ไวรัส
คำตอบสำหรับข้อ 1 ในรอบสองปีที่ผ่านมา มีหลายแหล่งข้อมูลทยอยเปิดเผยออกมาเรื่อย ๆ ว่า โควิด 19 ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่น่าจะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือเอาเชื้อโรคร้ายมาดัดแปลงเสริมแต่งให้มีความรุนแรงมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เชื้อโรคนี้ถูกผลิตมาจากห้องแล็บ ที่คนส่วนใหญ่มองไปที่แล็บสหรัฐมากกว่า
เมื่อปลายเดือนเมษายน 2564 นายเวียเซสลาฟ โวโลตชดิน ประธานสภาดูมาหรือสภาล่างชของรัสเซีย เปิดเผยว่า เชื้อโควิด 19 อาจเชื่อมโยงกับการรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการทางชีวภาพของสหรัฐ เขาเรียกร้องให้รัฐบาลรัสเซียหยิบยกประเด็นความรับผิดชอบต่อการระบาดเชื้อโรคร้ายนี้
ถ้าผู้นำจีนหรือรัสเซียพูด คนอาจมองว่า เป็นการกล่าวหาสหรัฐเพราะรัสเซียและจีนเป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐ ดังนั้น ลองมาฟังนักวิทยาศาสตร์นอร์เวย์ ชื่อ เบอร์เกอร์ โซเรสเซน ที่เปิดเผยผลงานวิจัยองตนว่า เชื้อไวรัสโคโรน่า 19 มีการพัฒนาจากห้องทดลอง เพราะตั้งแต่มีการค้นพบไวรัสชนิดนี้ โปรตีนของไวรัสไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ตัวที่พบใหม่ที่ชื่อโควิด 19 นั้น โปรตีนที่เป็นแขนของไวรัสโคโรน่าตัวเดิมเป็นที่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ แต่เขาไม่ได้บอกว่าเป็นฝีมือของใคร
ส่วน เซอร์ ริชาร์ด เดียร์เลิฟ อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองของอังกฤษ ( ถ้าพูดเล่นๆก็คืออดีตหัวหน้าเจมส์ บอนด์ในภาพยนตร์นั่นเอง ) ได้กล่าวสนับสนุนคำพูดของนักวิทยาศาสตร์นอร์เวย์ข้างต้น และแสดงความห่วงใยว่า เชื้อที่วิจัยในห้องปฏิบัติการหลุดรอดออกมาได้อย่างไร ถือว่าเป็น “ความล้มเหลวด้านการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ” จนเป็นสาเหตุที่เชื้อตัวนี้แพร่ระบาดไปทั่วโลก
ในขณะที่ นายเกร็ด รูบินี ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองชาวอเมริกัน ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวโทรทีศน์ของอเมริกาใต้ ว่า “ ไวรัสโควิด 19 ได้รับการออกแบบทางพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพ โครงการนี้ควบคุมโดยศาสตราจารย์ ราล์ฟ ปาร์ริก ซึ่งทดลองในห้องแล็บ บีเอสแอล-3 ในรัฐคาโรไลน่าเหนือ และส่งไปแพร่ระบาดในจีน “
ส่วนศาสตราจารย์ ลุค มองตานิเยร์ ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลในฐานะผู้ค้นพบไวรัส เอช.ไอ.วี. ได้เปิดเผยกับนักข่าวฝรั่งเศสว่า “ โควิด 19 ไม่ได้มาจากธรรมชาติ หากแต่ได้รับการพัฒนาอย่างประณีตโดยนักวิทยาศาสตร์ชีวโมเลกุล โดยนำเชื้อไวรัสจากค้างคาวเข้าไปเพิ่มความเข้มข้นของเชื้อ เอช.ไอ.วี “ เขามองว่า นี่คือการวางยาพิษที่ชั่วร้ายที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก ผู้สื่อข่าวอเมริกันเองได้เกาะติดและเปิดโปงสิ่งที่ค้นพบ สรุปว่า มีคนอเมริกันป่วยด้วยเชื้อไวรัสตัวเดียวกันนี้ก่อนเคสแรกที่เมืองอูฮั่นด้วยซ้ำ
แพทย์อเมริกันที่รักษาคนป่วยก็ยอมรับว่าเป็นเชื้อชนิดเดียวกัน (หากอยากทราบรายละเอียดให้ค้นหาบทความของผู้เขียนในโพสต์ วันที่ 30 เมษายน 2563 ที่ เกรซ ไบรด์ ได้ทำข่าวเชิงสืบสวนโดยสรุปว่า เชื้อนี้รั่วไหลมาจากห้องปฏิบัติการอาวุชีวภาพของ ซี.ไอ.เอ.ที่ศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐ (ซี.ดี.ซี.) จนต้องปิดแล็บดังกล่าว และคนอเมริกันกว่า 200 คนที่เสียชีวิตด้วยโรคปอดลึกลับ อาจเป็นผลมาจากเหยื่อของการทดลองครั้งนี้ ไม่ใช่ตายเพราะสูบบุหรี่ไฟฟ้าดังที่อ้าง )
สหรัฐโยนข้อกล่าวหาไปยังจีนว่า เชื้อโรคร้ายตัวนี้หลุดมาโดยความประมาทจากห้องแล็บเมืองอูฮั่น และเรียกร้องให้องค์การอนามัยโลกไปตรวจสอบ องค์การอนามัยได้แถลงในเวลาต่อมาหลังตรวจสอบแล้ว สรุปว่าไม่พบหลักฐานหรือสิ่งบอกเหตุว่าเชื้อดังกล่าวจะหลุดมาจากห้องแล็บของจีนที่เมืองอูฮั่น เรื่องก็จบกันไป
ส่วนคำถามที่สองที่ว่า หากเป็นเชื้อที่มีการพัฒนาโดยมนุษย์จริง ประเทศที่พัฒนาและกระจายโรคร้ายนี้มีวัตถุประสงค์อะไร มีการวิเคราะห์ว่า บนพื้นฐานความเชื่อของผู้นำสหรัฐ สหรัฐต้องเป็นผู้กำหนดชาตาของโลกแต่ผู้เดียว สหรัฐจะมองปัญหาของโลกในอนาคตร้อยปีข้างหน้าสำหรับคนรุ่นต่อๆไป ฝรั่งวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะคิดถึง
(1) ต้องการคุมกำเนิดประชากรโลกที่มีมากเกินไป (ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 7 พันล้านคน) หากให้เป็นไปเช่นนี้เรื่อย ๆ จำนวนประชากรโลกจะมากเกินไป ไม่ได้สัดส่วนกับอาหาร น้ำ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในโลก สหรัฐต้องเป็นผู้นำในการควบคุมดูแลประชากรโลกให้ได้สัดส่วนกับทรัพยากรธรรมชาติ และใช้ “สงครามโรค” แทน “สงครามโลก” ที่แต่ละครั้งทำให้คนตายจำนวนมาก แต่ครั้งนี้ ถ้าให้เกิดสงครามนิวเคลีย คนจะตายกันหมดรวมทั้งคนอเมริกันด้วย ดังนั้น จึงใช้โรคระบาดลดจำนวนประชากรโลก (ปรากฏว่าคนอเมริกันตายมากที่สุด)
(2) สหรัฐจะทำเงินได้อย่างมากมายจากการวิจัย ผลิต ขายวัคซีน เพราะคนที่สร้างเชื้อโรค ก็ต้องเตรียมพัฒนาวัคซีนเพื่อรักษาไว้ก่อน ในฐานะชาตินายทุน ที่พร้อมจะแสวงประโยชน์เพื่อแสวงหา “กำไร” จากนโยบายที่เกิดขึ้น (3) บ่อนทำลายจีนซึ่งกำลังท้าทายความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของสหรัฐ
มีการวิจารณ์ว่า สำหรับข้อ 1 โลกใบนี้ยังมีที่ว่างอีกมากมาย เวลาขึ้นเครื่องบินจะมองเห็นที่ว่างอีกมากที่พอรองรับการขยายตัวของประชากรโลก แต่สหรัฐคิดว่าตัวเองมีหน้าที่มองไปข้างหน้าวางแผนการบริหารจัดการสัดส่วนของประชากรโลกกับทรัพยากรธรรมชาติและที่ดินทำกินที่เหมาะสม ส่วนข้อ 2 เป็นผลมาจากข้อ 3 เวลานี้ มีเสียงด่าว่าหากสหรัฐวางแผนเช่นนั้นจริง ก็ถือว่าชาติชั่วอำมหิตที่สุด
ข้อ (3) มีความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะสหรัฐจะต้องรักษาความเป็นอันดับหนึ่งของโลกไว้ให้ได้ สหรัฐจึงพร้อมที่จะ “เตะตัดขา” คู่แข่งที่ขึ้นมาทาบรัศมี ไม่ว่าจะถูกกฎกติกามรรยาทหรือไม่ก็ตาม เพราะจีนมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทุกด้านทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี การทหาร ฯลฯ จนอาจแซงหน้าเป็นชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งสหรัฐรับไม่ได้
การใช้กำลังทหารเป็นไปไม่ได้ (ยกเว้นอุบัติเหตุ) เพราะคู่สงครามและโลกจะแพ้ทั้งหมดจากสงครามนิวเคลีย จึงต้องใช้วิธีอย่างอื่น และวิธีหนึ่งที่จะใช้เตะสกัดจีนได้ผลคือ อาวุธชีวภาพ ซึ่งหาต้นตอได้ยาก แต่ภาษิตไทยบอกว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” เพราะคนอเมริกันตายมากในอันดับต้นๆ ของโลก แต่นายทุนอเมริกันก็สามารถทำกำไรได้มากมายจากการขาย “วัคซีน” และทำเงินจาก “หุ้นวัคซีน”
สุดท้าย มนุษย์ก็แพ้เชื้อโรคที่มนุษย์สร้างขึ้น
อย่างไรก็ดี จีนได้กลายเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาของโลกไปแล้ว เพราะรู้กันทั่วไปว่า โควิด 19 เกิดที่เมืองอูฮั่น ในประเทศจีนในปี 2519 ช่วงเวลาที่จีนจัดการแข่งขันกีฬาทหารของโลกที่เมืองนี้ ซึ่งสหรัฐส่งทหารอเมริกันเข้าไปแข่งขันด้วย แม้จีนสงสัยว่า ทหารอเมริกันอาจนำเชื้อนี้มาเผยแพร่ แต่ก็หาหลักฐานมาค้านไม่ได้ ซ้ำอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังตอกย้ำโดยเรียกว่าไวรัสตัวนี้ว่า เป็น “ไวรัสจีน” เพื่อด้อยค่าจีนเข้าไปอีก
จีนต้องก้มหน้าก้มตาแก้ปัญหาของตน จะพูดมากก็ไม่ได้เพราะคนทั่วโลกเห็นว่า โรคร้ายนี้เกิดที่เมืองอูฮั่นจริง และระบาดไปยังประเทศอื่น แต่จีนก็เป็นประเทศแรก ๆ ที่ประสบความสำเร็จในการรักษาชาวจีนที่ติดเชื้อให้หายจากไวรัสร้ายตัวนี้ได้อย่างเหลือเชื่อ ส่วนเรื่องที่ถูกกล่าวหาก็ต้องหากหลักฐานตามแก้กันไป
สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ จีนคุมการแพร่ระบาดอย่างได้ผล ใครจะว่าวัคซีนจีนไม่ดี แต่จีนก็คุมการแพร่ระบาดได้อย่างอยู่หมัด (จบ)
**********************