ปปช.อาวุธการเมือง สงครามยึดบัลลังก์รัฐ
นาฬิกาทราย...ปลายสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มอ่อนแรงลง ปี่กลองการเมืองเริ่มขึ้นอย่างดังสนั่น | คอลัมน์ ย้อนศร
การประชุมสภาที่ผ่านมาในเรื่อง พรบ.สุราก้าวหน้า รวมถึง พรบ.กัญชาเสรี เปรียบเสมือนเป็นเวทีวัดกำลังของผู้ที่มีอำนาจในช่วงปลายสมัย กับ ฝ่ายที่คิดว่าจะเป็นผู้มีอำนาจในอนาคต
ไม่แปลกที่ผู้มีอำนาจฝ่ายบริหารบ้านเมือง รวมถึงพรรคแกนนำรัฐบาลปัจจุบัน มีความกลัวที่จะหมดอำนาจลง และดูเหมือนจะไร้ซึ่งหนทางกลับมามีอำนาจอีกครั้ง เมื่อประชาชนเสียงส่วนใหญ่หมดสิ้นความศรัทธาลง แรงส่งกลับมาอยู่ที่พรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลทันที หลังเกมวัดกำลังในสภาประเด็น พรบ.สุราก้าวหน้า ถูกคว่ำด้วยผลการโหวตที่ฉิวเฉียดจบสิ้นลง (เห็นด้วย 194 ไม่เห็นด้วย 196 งดออกเสียง 15 ) แต่เกมขย่มรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เริ่มขึ้นทันที่นอกสภา ด้วยแคมเปญ “เปลี่ยนรัฐบาลไม่พอ ต้องเปลี่ยนประเทศ” ที่ขับเคลื่อนโดยพรรคก้าวไกล และแคมเปญเลือกตั้งครั้งใหม่ด้วยวาทะกรรม “ต้องเลือกให้ขาด” ของพรรคเพื่อไทยซึ่งถือเป็นวาทะกรรมที่หวังสร้างแลนด์สไลด์และดูเหมือนจะสำเร็จเสียด้วย
ผลนิดาโพลล่าสุด ยิ่งตอกย้ำความกลัวขึ้นไปอีก เมื่อผลสำรวจ ‘คนที่ใช่พรรคที่ชอบของคนกทม.’ ออกมาว่า
**พรรคการเมืองที่จะเลือกให้เป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต อันดับ1 พรรคเพื่อไทย 28.5% อันดับ2 พรรคก้าวไกล 26.45% อันดับ3 พรรคพลังประชารัฐ/ยังไม่ตัดสินใจ 9.5% และอันดับที่4 คือ พรรคประชาธิปัตย์ 9.45%
**ส่วนพรรคการเมืองที่จะเลือกให้เป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ อันดับ1 พรรคเพื่อไทย 28.6% อันดับ2 พรรคก้าวไกล 26.1% อันดับ3 ยังไม่ตัดสินใจ 10.15% อันดับ 4 พรรคพลังประชารัฐ 9.15% และอันดับ5 พรรคประชาธิปัตย์ 9%
การที่พรรคเพื่อไทยประกาศแลนด์สไลด์ในพื้นที่ที่ราบสูงอย่างภาคอีสานที่ถือได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีประชากรมากที่สุด ซึ่งยังไม่น่ากลัวเท่าความเป็นไปได้ที่จะแลนด์สไลด์ในเมืองหลวง เมื่อผลโพลออกมาเป็นเช่นนั้น...ความกลัวของผู้มีอำนาจในปัจจุบันจึงทวีคูณมากขึ้นเพราะต้องตามตำรา ‘สองนคราประชาธิปไตย’ ที่ว่า “คนชนบทเป็นผู้ตั้งรัฐบาล คนชั้นกลางเมืองเป็นผู้ล้มรัฐบาล” จึงต้องเร่งจัดการความเชื่อมั่นและดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามให้เร็วและแรงที่สุด
แต่ทฤษฎีสองนครา กำลังจะถูกทำลายเมื่อฐานรากและชนชั้นกลางในเมืองไหลมารวมกันในหมุดหมายเดียวกัน
เกมการเมืองเถื่อนจึงจำเป็นต้องถือกำเนิดขึ้น ด้วยการใช้อำนาจของตนประกอบกับองค์กรอิสระที่ตนสร้างขึ้นและมีอำนาจกำกับดูแล เข้าไปเร่งรัดขุดรื้อฟื้นคดีต่างๆ เพื่อเป็นบ่วงคล้องคอมิให้กลุ่มอิทธิพลทางการเมืองทุกกลุ่มสยบอยู่ในคอกของตนเพื่อรักษาฐานเสียงกำลังเอาไว้ เพื่อเป็นหนทางในการกลับเข้าสู่อำนาจอีก ครั้นหากใครหรือกลุ่มไหนยังสวามิภักด์ ก็ไปต่อได้แลกกับตำแหน่งทางการเมือง หากขบถ ใครคนใดคนหนึ่งในตระกูลก็โดนคดีกรรมตามสนองที่เคยทำเอาไว้ในอดีต วันนี้เริ่มขึ้นแล้ว...
### คงไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญที่มีข่าวว่ากลุ่มผู้มากบารมี “บ้านปากน้ำ” กระด้างกระเดื่องในพรรคพลังประชารัฐและมีการต่อรองโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งใหม่ ทำให้บิ๊กเนมทางการเมืองชื่อแรกอย่าง พี่เอ๋ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ถูกป.ป.ช. ชี้มูลความผิดเรื่องเมื่อ 10 ปีก่อน สมัยนั่งเก้าอี้ นายก อบจ.สมุทรปราการ กรณีถูกกล่าวหาว่า ทุจริตในการใช้จ่ายเงินอุดหนุนวัดและฮั้วประมูลก่อสร้างเตาเผาศพ กว่า 800 ล้าน
###และล่าสุดกับภารกิจ “ล้มไม้ค้ำ ลิดกิ่งก้าน” ล้างบางธุรกิจสีเทา ทั้งผับและบ่อนศูนย์เหรียญ เริ่มมีการบุกจับและตรวจค้นสถานบันเทิงที่เป็นธุรกิจสีเทาในพัทยา และขยายผลมาสู่การบุกจับผับ “จินหลิง” ในเขตยานนาวา ซึ่งเป็นของทุนมาเฟียจีน และข่าวเม้าท์กันว่ามีอดีตรัฐมนตรีมียศมีเอี่ยวเกี่ยวพันอยู่ด้วย คงไม่ต้องอยากล่วงรู้ว่าเป็นใคร เชื่อว่าเดาได้ไม่ยาก ใครละที่ขัดแย้งกับลุง?
เมื่อมองตามตำรา ‘สองนคราประชาธิปไตย’ นี่จึงถือได้ว่า เป็นสงครามทางการเมือง ที่ดิสเครดิตทำลายความชอบธรรมและตัดกำลังศัตรูทางการเมืองอย่างโหดเหี้ยม และนี่ไม่ใช้ครั้งแรกของกลุ่มผู้มีอำนาจในปัจจุบันกลุ่มนี้ เห็นได้จากช่วงตั้งพรรคพลังประชารัฐ คงเป็นความเคยชินของอาชีพเดิมของท่านผู้นำ? เพราะมองว่าเป็นวิธีการที่เร็วที่สุดที่จะได้เสียงสนับสนุนจากกลุ่มคน ‘White collar’ ที่เป็นตัวแทนของคนวัยทำงานคนชั้นกลางรวมไปถึงนักธุรกิจ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญทางการเมือง เพราะถ้ากลุ่มนี้อยากให้เพื่อไทยแสนด์สไลด์ก็ย่อมทำได้เพราะผลโพลสะท้อนให้เห็นแล้ว
ฉะนั้นทุกยุทธวิธีที่มีให้ใช้ ก็ใช้เต็มที่อย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเพื่อหวังให้กลุ่มคน White collar กลับมาเลือกข้างตัวเอง แต่คำถามอยู่ที่ว่า แล้วกลุ่มคนอย่าง White collar จะยอมให้ผู้ที่หวังสืบทอดอำนาจมาจูงจมูกต่อไปหรือไม่?