นิติบุคคลสามารถขอคืนภาษีได้จริงหรือ?

28 ธันวาคม 2565

ตามหน้าที่ของนิติบุคคลเมื่อมีรายได้จากการประกอบกิจการ ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งถ้าหากมีภาษีที่จ่ายเกินไว้ ผู้ประกอบการสามารถขอคืนภาษีได้ แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีกิจการใดขอคืน เนื่องจากผลที่ตามมาอาจไม่คุ้มค่ากับภาษีที่ได้คืน

          ตามหน้าที่ของนิติบุคคลเมื่อมีรายได้จากการประกอบกิจการ ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งถ้าหากมีภาษีที่จ่ายเกินไว้ ผู้ประกอบการสามารถขอคืนภาษีได้ แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีกิจการใดขอคืน เนื่องจากผลที่ตามมาอาจไม่คุ้มค่ากับภาษีที่ได้คืน
          เพราะเมื่อใดก็ตามที่กิจการทำเรื่องยื่นขอคืนภาษี ทางสรรพากรจะขอเอกสารเพิ่มเติม หรือเข้าตรวจสอบเพื่อพิจารณาคืนเงินภาษี และหากบางกิจการทำบัญชีไว้ไม่ถูกต้องหรือตกหล่น ภาษีที่ขอคืนอาจไม่ได้แถมยังต้องเสียภาษีเพิ่มอีกด้วยซ้ำ
          ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่กิจการจะขอคืนเงินภาษี และมีเงื่อนไขเป็นอย่างไร ไปติดตามพร้อมกัน

หลักการพิจารณา “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” ควรขอคืนหรือไม่ 

          ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คือเงิน 7% ที่กิจการเก็บเพิ่มจากการขายสินค้าให้ลูกค้า เรียกว่า “ภาษีขาย” พร้อมนำส่งกรมสรรพากร และ “ภาษีซื้อ” ที่กิจการจ่ายไปเมื่อซื้อสินค้าเพื่อใช้ในกิจการ ซึ่งรูปแบบการใช้ประโยชน์จากภาษีซื้อที่จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มไป สามารถขอคืนภาษีซื้อได้หลายรูปแบบดังนี้ 
         

          -เครดิตภาษีในเดือนถัดไป คือนำเครดิตภาษีซื้อที่มีเหลืออยู่ในแต่ละเดือนภาษี ซึ่งเกิดขึ้นจากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย ทำให้มีภาษีซื้อเหลือ สามารถนำไปใช้สิทธิ์ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนถัดไปได้

          โดยวิธีการเครดิตภาษีซื้อคือ เมื่อยื่นแบบ ภ.พ.30 และมีเครดิตภาษีซื้อในเดือนนั้นเหลืออยู่ ถ้าหากกิจการไม่ลงชื่อขอคืนภาษี จะถือว่ามีความประสงค์นำเครดิตภาษีซื้อไปชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนถัดไป แต่ถ้าเดือนถัดไปไม่ได้นำเครดิตภาษีที่เหลืออยู่มาจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม จะยกยอดเครดิตภาษีข้ามไปเดือนอื่นอีกไม่ได้


          - ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงินสดหรือโอนเข้าบัญชี สำหรับการขายสินค้าหรือให้บริการของผู้ประกอบการ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ซึ่งกรณีที่กิจการไม่ได้ขอคืนภาษีด้วยการเครดิตภาษี ให้กิจการใช้สิทธิ์ยื่นคำร้องขอคืนภาษีภายใน 3 ปี นับแต่วันพ้นกำหนดยื่นแบบแสดงรายการภาษีสำหรับเดือนภาษีนั้น
          โดยยื่นคำร้องขอคืนภาษีด้วยแบบ ค.10 ซึ่งการขอคืนภาษีเป็นเงินสดหรือขอโอนเข้าบัญชีธนาคาร ให้ผู้ประกอบการลงลายมือชื่อในแบบ ภ.พ.30 ด้วย


          -ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ หากผู้นำเข้าเป็นผู้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเอง สามารถยื่นคำร้องได้ ณ ที่ว่าการอำเภอของท้องถิ่นนั้นๆ แต่ถ้าไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนเอง ให้ยื่นคำร้องขอคืนภาษี ณ ด่านศุลกากรขาเข้า
          ทั้งนี้ หากผู้นำเข้ามีข้อโต้แย้ง หรือติดคดีในชั้นศาล การขอคืนภาษีสามารถทำได้ภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่ได้รับข้อโต้แย้งอากรขาเข้าเป็นลายลักษณ์อักษร
          แต่ส่วนใหญ่สำหรับธุรกิจขายสินค้าและให้บริการ รวมถึงนำเข้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% กิจการจะไม่นิยมขอคืนภาษี และใช้วิธีเครดิตภาษีซื้อไปหักภาษีขายในเดือนถัดไปแทน เพื่อความสะดวกในการดำเนินการ เพราะถ้าขอคืนภาษีทางสรรพากรจะต้องเข้ามาตรวจสอบ ซึ่งหากตรวจสอบพบความผิดปกติ อาจไม่ได้เงินภาษีคืนและเสียเงินเพิ่มแทนได้ ในทางกลับกันหากกิจการมั่นใจว่าได้ทำบัญชีถูกต้อง ก็สามารถขอคืนภาษีได้

หลักการพิจารณา “ภาษีหัก ณ ที่จ่าย” ควรขอคืนหรือไม่

          การขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นภาษีสำหรับธุรกิจบริการที่ได้รับเงินค่าจ้าง จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ ตามประเภทธุรกิจของตนเอง เช่น ค่าจ้างทำของ 3% ค่าขนส่ง 1% ค่าโฆษณา 2% เป็นต้น 
          และกิจการจะได้รับหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) เพื่อใช้เป็นหลักฐานยื่นภาษี ว่าได้มีภาษีจ่ายล่วงหน้าไว้แล้วเท่าไหร่ ซึ่งการเสียภาษีดังกล่าวเมื่อกิจการยื่นภาษีแล้ว พบว่าได้เสียภาษีเกินกว่ายอดที่ต้องชำระ กิจการก็สามารถขอคืนเงินภาษีจากสรรพากรได้ แต่ควรพิจารณาเงื่อนไขของการขอคืนเงินภาษี ดังนี้
          1.เป็นผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งภาษีแล้ว แต่นำส่งเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษี
          2.ระยะเวลาในการขอคืนภาษี โดยผู้มีสิทธิขอคืนเงินภาษีสามารถยื่นคำร้องได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันครบกำหนดยื่นแบบฯ ภาษี เช่น กิจการมีหน้าที่ต้องยื่นแบบฯ ภาษี (ภ.ง.ด.50) ภายใน 150 วัน นับแต่วันสิ้นรอบบัญชี หลังจากนั้นจะมีเวลาในการขอคืนภาษีภายใน 3 ปี
หากเข้าเงื่อนไขสามารถขอคืนภาษีได้ โดยวิธีการขอคืนเงินภาษีมี 2 แบบ คือ
          - ยื่นคำร้องขอคืนภาษีต่อเจ้าพนักงานประเมิน ตามแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.50
          - ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร (ค.10)

หลักการพิจารณา “ภาษีธุรกิจเฉพาะ” ควรขอคืนหรือไม่
          การขอคืนภาษีธุรกิจเฉพาะ จะเกิดขึ้นในกรณีที่กิจการมีรายได้จากดอกเบี้ยรับจากการให้กู้ยืม หากได้มีการนำส่งภาษีแล้ว แต่นำส่งเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษี หรือผู้ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีแต่ได้ชำระภาษีไว้ สามารถขอคืนภาษีได้โดยสามารถยื่นคำร้องได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันครบกำหนดยื่นแบบฯ ภาษี ด้วยแบบคำร้อง ค.10
          โดยการขอคืนภาษีธุรกิจเฉพาะ สามารถยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีภายใน 3 ปีนับแต่วันพ้นกำหนดเวลายื่นแบบฯ ภาษี เช่นเดียวกับการขอคืนภาษีอื่นๆ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่อาจมีเอกสารเพิ่มเติม เช่น แบบ ภ.ง.ด. หนังสือจดทะเบียนบริษัท และหลักฐานอื่นๆ ที่จะต้องใช้ในการประเมิน และหลังจากยื่นคำร้องเสร็จแล้ว หากผู้ประกอบการต้องการยกเลิกการขอคืนภาษีก็สามารถทำได้ โดยเข้าไปแจ้งพนักงานที่สรรพากรว่าไม่ต้องการขอคืนภาษีแล้วเท่านั้น
 
นิติบุคคลขอคืนภาษีได้ แต่ตัดสินใจพลาดอาจเสียภาษีเพิ่ม  
          สิ่งที่สำคัญเมื่อกิจการมีภาษีที่สามารถขอคืนได้ ต้องพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนว่า มีเงินขอคืนภาษีมากพอหรือไม่ คุ้มค่ากับการขอคืนหรือไม่ การจัดการบัญชีและเอกสารต่างๆ ถูกต้อง พร้อมให้สรรพากรเข้ามาตรวจหรือไม่ 
เพราะหลังจากขอคืนเงินภาษีแล้ว ทางสรรพากรจะขอเอกสารเพิ่มเติม หรือเข้าตรวจเอกสารหรือซักถามข้อมูลต่างๆ กิจการต้องเตรียมข้อมูลและเอกสารให้พร้อมเมื่อสรรพากรเข้าตรวจสอบ เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบของสรรพากร และจะทำให้ได้ภาษีคืนเร็วขึ้นด้วย แต่ถ้าเอกสารไม่พร้อม ตรวจสอบแล้วพบว่ายื่นภาษีผิด อาจทำให้เสียภาษีเพิ่มแทนได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้ ที่นี่ 

Thailand Web Stat