วิธีการตั้งรับกับภาษีขายของออนไลน์...ที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องรู้

14 มิถุนายน 2566

การซื้อขายในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ดังนั้นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ยุคใหม่คงทราบดีว่า หน้าที่สำคัญของผู้ประกอบอาชีพค้าขายออนไลน์ คือ ภาษีที่เกิดจากรายได้ทางออนไลน์หากมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด จะต้องเสียภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมายกำหนดทั้งสิ้น

     การซื้อขายในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จากเดิมที่ทำการค้าขายกันต้องมีการเห็นหน้าและสื่อสารกัน แต่ในยุคนี้การซื้อขายเปลี่ยนมาเป็นการสื่อสารแบบออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านก็สามารถขายของได้แล้ว

     ดังนั้นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ยุคใหม่คงทราบดีว่า หน้าที่สำคัญของผู้ประกอบอาชีพค้าขายออนไลน์ คือ ภาษีที่เกิดจากรายได้ทางออนไลน์หากมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด จะต้องเสียภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมายกำหนดทั้งสิ้น

     โดยในวันนี้เราขอนำเสนอการวางแผนรับมือกับภาษีจากการขายของออนไลน์ เพื่อให้การขายของออนไลน์ของคุณถูกต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดนั่นเอง แล้วข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับภาษีขายของออนไลน์มีอะไรบ้าง ลองมาติดตามดูข้อมูลกันได้ดังนี้

ภาษีแบบบุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล

     เมื่อมีการค้าขายสินค้าออนไลน์เกิดขึ้น ภาษีจะมีการแบ่งการคำนวณเป็นสองประเภทตามรูปแบบธุรกิจ คือ

     ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล มีวิธีการคำนวณ 2 แบบ คือ

     แบบเหมา 60% (เป็นการเลือกหักต้นทุน) วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายเพื่อยื่นภาษี และไม่ต้องเก็บเอกสารประกอบเพื่อใช้ยื่นภาษี เพราะไม่ต้องพิสูจน์รายได้ ซึ่งเหมาะกับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่มีต้นทุนน้อยกว่า 60% และมีกำไรมากถึง 40%

     แบบหักค่าใช้จ่ายตามจริง จะเหมาะกับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่มีต้นทุนสูง และมีกำไรน้อยกว่า 40% โดยจะต้องทำบันทึกรายรับ-รายจ่ายและกำไรทุกเดือน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการคำนวณยื่นภาษี และต้องเก็บเอกสารทุกใบที่มีข้อมูลระบุชัดเจนและถูกต้องตามที่กรมสรรพากรกำหนดให้ครบ

     และนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามสูตร คือ (รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล 

     ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีที่ร้านค้ามีการจดทะเบียนเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล วิธีการคำนวณภาษีคือ (รายได้ – ค่าใช้จ่าย) = กำไรสุทธิ แล้วนำกำไรสุทธิที่ได้มาคิดภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล

รายได้เกิน...ภาษีมูลค่าเพิ่มก็ตามมา

     สำหรับผู้มีรายได้ไม่ว่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภายใน 30 วัน หลังจากมียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาท และนำยอดขายในแต่ละเดือน ยื่นแบบ ภ.พ.30 ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หากยื่นออนไลน์สามารถยื่นได้อีก 8 วัน คือภายในวันที่ 23 ของทุกเดือน

พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ควรรู้กฎหมาย E-PAYMENT

     เป็นการส่งข้อมูลยอดเงินของเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคารที่เปิดทั้งในรูปแบบบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ให้แก่กรมสรรพากรโดยมีเงื่อนไขในการส่งข้อมูลให้สรรพากร คือ มีเงินเข้าบัญชี 3,000 ครั้งต่อปี ไม่ดูจำนวนเงิน หรือมีเงินเข้าบัญชี 400 ครั้งต่อปี และจำนวนเงิน (นับเฉพาะฝั่งเงินรับฝากเข้า) รวมเกิน 2 ล้านบาท

     ดังนั้น ธนาคารจำเป็นต้องส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากร ถ้าหากบัญชีของเรามีเงินเข้าบัญชีตามเงื่อนไขดังที่กล่าวไปแล้วข้อใดข้อหนึ่ง ในทางกฎหมาย ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องเตรียมรับมือกับข้อมูลรายได้ที่อาจถูกธนาคารส่งให้กับสรรพากรด้วย

จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์คืออะไร

     ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้ผู้ประกอบพาณิชยกิจไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  หรือบริษัทมหาชนจำกัด ตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด ทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต้องจดทะเบียนพาณิชย์  ที่ทำธุรกิจออนไลน์และมีเงื่อนไขเข้าตามที่กฎหมายกำหนด ดังนี้

 

     • การซื้อขายสินค้าหรือบริการโดยวิธีการผ่านอินเทอร์เน็ตหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ (ร้านค้าออนไลน์)
     • การให้บริการอินเทอร์เน็ต 
     • ธุรกิจให้บริการ 
     • ธุรกิจแหล่งตัวกลางขายสินค้าและบริการ

ควรแยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจออกจากกัน

     โดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็นการค้าขายประเภทไหน ต้องมีการทำบัญชีแทบทั้งสิ้น ซึ่งตามหลักการแล้วเมื่อมีรายได้จากการขายของออนไลน์เกิดขึ้น ควรแยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัว เพื่อให้ง่าย สะดวก และรวดเร็วต่อการยื่นภาษี 

     สำหรับบุคคลธรรมดา รายรับรายจ่ายส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจ ควรแยกบัญชีออกมาต่างหาก ส่วนนิติบุคคล นอกจากจะแยกบัญชีส่วนตัวออกจากบัญชีธุรกิจแล้ว เจ้าของกิจการต้องไปเปิดบัญชีธนาคารในชื่อบริษัท เพื่อใช้เป็นบัญชีหลักในการนำเงินที่เกิดจากการขายของออนไลน์ฝากเข้า-ถอนออก

     ไม่ควรใช้บัญชีส่วนตัวเนื่องจากจะไม่เห็นผลประกอบการที่แท้จริงหรือสรรพากรตรวจเอกสารจะทำให้ขาดความน่าเชื่อถือได้

ควรขอใบกำกับภาษีทุกครั้ง

     ในการค้าขายออนไลน์ เมื่อมีการซื้อมาขายไป ต้องขอใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีทุกครั้ง และเก็บเอกสารให้ครบถ้วนเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นสรรพากร หรือเมื่อถูกสรรพากรเรียกตรวจสอบ ก็สามารถแสดงหลักฐานต่างๆ ได้ครบตามที่ยื่นภาษีไป

     ดังนั้น พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์จะต้องรวบรวมเอกสารทั้งรายรับและรายจ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ครบ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีใบรับรองหัก ณ ที่จ่าย เก็บไว้เป็นการป้องกันตัวเองจากการถูกตรวจสอบย้อนหลัง

สิ่งสำคัญบัญชีรายรับรายจ่ายต้องทำ

     นอกจากธุรกิจค้าขายออนไลน์จะต้องเก็บเอกสารต่างๆ ให้ครบถ้วนแล้ว ยังต้องทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอดังนี้

     พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ควรทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นประจำทุกเดือน ที่สำคัญรายรับและรายจ่ายที่เกิดขึ้นควรมีบิล ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษี  แยกให้ชัดเจนเป็นรายเดือน เพื่อเป็นการยืนยันถึงที่มาที่ไปของจำนวนเงินว่าได้รับและจ่ายออกไปจริงๆ อย่างถูกต้องครบถ้วน

     กล่าวโดยสรุป การประกอบอาชีพที่ได้รับเงินเดือนจากงานประจำ อาจไม่เพียงพอกับชีวิตความเป็นอยู่ ดังนั้นการขายของออนไลน์จึงเป็นทางเลือกในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อมีรายได้สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือเรื่องของภาษีต่างๆ ที่จะตามมา จึงต้องเตรียมตัววางแผนเพื่อรับมือกับภาษีจากรายได้จากช่องทางออนไลน์ ที่จะต้องเกิดขึ้นเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ เพื่อป้องกันภาระภาษีทั้งค่าปรับ และเงินเพิ่มกรณียื่นภาษีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้องอีกด้วย

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting

Thailand Web Stat