ไขข้อข้องใจ ภาษีโฆษณา ที่บริษัทโฆษณาไม่ควรมองข้าม
ธุรกิจโฆษณาถือเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการจำนวนมาก เนื่องจากมีโครงสร้างราคาที่มีรูปแบบการคำนวณราคาเป็นการเฉพาะ จึงทำให้บริษัทรับทำโฆษณาต้องมีความเข้าใจในการประกอบกิจการและต้องมีความรู้ทางด้าน ภาษีโฆษณา ควบคู่กันอีกด้วย
เมื่อพูดถึงคำว่า "ภาษีโฆษณา" ทุกคนรู้ว่าภาษีโฆษณาเป็นภาษีที่เรียกเก็บจากองค์กร หรือธุรกิจที่ลงทุนโฆษณาสินค้าหรือบริการเพื่อเพิ่มยอดขายให้กับลูกค้า
ซึ่งธุรกิจโฆษณาถือเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการจำนวนมาก เนื่องจากมีโครงสร้างราคาที่มีรูปแบบการคำนวณราคาเป็นการเฉพาะ จึงทำให้บริษัทรับทำโฆษณาต้องมีความเข้าใจในการประกอบกิจการและต้องมีความรู้ทางด้าน ภาษีโฆษณา ควบคู่กันอีกด้วย เพื่อให้ธุรกิจดำเนินการอย่างราบรื่น และให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะมีข้อมูลอะไรบ้างลองมาศึกษาไปพร้อมๆ กันได้ ดังต่อไปนี้
ภาษีโฆษณา คืออะไร
ภาษีโฆษณา เป็นภาษีที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาสินค้าหรือบริการ ซึ่งเจ้าของธุรกิจจะต้องชำระตามจำนวนที่ตกลงกับผู้ว่าจ้าง ภาษีนี้จะถูกนับจากการเผยแพร่ของโฆษณา เช่น การโฆษณาผ่านทางโทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้กระทั่งโฆษณาออนไลน์ เพื่อให้คนเห็น ฟัง และติดตาม
นอกจากนี้การชำระภาษีโฆษณาเป็นส่วนหนึ่งที่เจ้าของกิจการต้องศึกษาให้ดี ซึ่งในปัจจุบันสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับขอบเขตของธุรกิจนั้นๆ เช่น สินค้าหรือบริการที่โฆษณาในสื่อที่ไม่แสดงผล จะต้องชำระภาษีโฆษณาตามจำนวนเงินที่ผู้ประกอบการกำหนด ส่วนถ้าสินค้าหรือบริการที่โฆษณาแล้วมีการขาย เจ้าของธุรกิจจะต้องจ่ายภาษีโฆษณาตามค่าลิขสิทธิ์ เพื่อให้รู้สึกถึงความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นจากการโฆษณานั้นๆ
ภาษีที่เกี่ยวข้องกับบริษัทโฆษณามีอะไรบ้าง
การชำระภาษีโฆษณานั้นมีผลดีต่อธุรกิจอย่างมาก เพราะจะช่วยส่งเสริมการโฆษณาสินค้าหรือบริการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยกำหนดเป้าหมายกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจส่งผลให้เราเจอกันบ่อยๆ เช่น การจัดหาลูกค้าใหม่ การเพิ่มยอดขาย แต่หากไม่ดำเนินการชำระภาษีโฆษณาตามกฎหมายที่กำหนด จะแสดงถึงการละเมิดกฎหมายอย่างชัดเจน และอาจต้องเผชิญหน้ากับค่าปรับหรือโทษต่างๆ ได้อีกด้วย ซึ่งเจ้าของบริษัทรับทำโฆษณาต้องมีการวางแผนชำระภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วยเช่นกัน อธิบายได้ดังนี้
1.ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
กรณีบริษัทรับทำโฆษณาที่ลูกค้าในนามนิติบุคคลจ่ายค่าโฆษณามา ทางบริษัทรับทำโฆษณาผู้รับเงินจะถูกหักภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ในอัตรา 2%
กรณีรัฐบาลหรือองค์กรภาครัฐเป็นผู้ว่าจ้าง บริษัทโฆษณาจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเพียง 1% ของเงินได้ที่จ่ายตามมาตรา 50(4) มาตรา 69ทวิ มาตรา 70 และมาตรา 70ทวิ
กรณีบริษัทรับทำโฆษณามีการจ้างพนักงาน จะต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 3%
กรณีบริษัทรับทำโฆษณามีการจ้าง Influencer จะต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 3%
กรณีบริษัทรับทำโฆษณามีการเช่าสถานที่ จะต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 5% ของเงินค่าเช่า
ส่วนผู้ที่จ่ายเงินต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายทันทีทุกครั้งก่อนจ่ายเงินให้กับผู้รับ ถ้าไม่หักหรือยื่นส่งสรรพากรไม่ตรงตามความเป็นจริง จะถือว่ามีความผิดทางกฎหมาย และยังมีเบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่ต้องจ่ายหากหักไว้ไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง
2.ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ธุรกิจโฆษณาในนามนิติบุคคล จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม vat เมื่อมีผลประกอบการก่อนหักค่าใช้จ่ายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องไปยื่นจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกิน และเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ยื่นส่งแบบ ภ.พ.30 เป็นรายเดือนทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป และยื่นออนไลน์ภายในวันที่ 23 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าในเดือนนั้นๆ จะมีรายรับหรือไม่ก็ตาม
นอกจากนี้ภาษีโฆษณาสำหรับกิจการที่ไม่ได้จดบริษัทเป็นนิติบุคคล เมื่อผลประกอบการสูงเกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นกัน ซึ่งอาจต้องคำนวณภาษีที่ต้องเสียให้ดีว่ารายได้สูงแบบนี้ ถึงเวลาที่ควรจดเป็นนิติบุคคลแล้วหรือไม่ เนื่องจากโดยปกติหากภาษีที่ต้องเสียนั้นสูงเกิน 20% ส่วนใหญ่เจ้าของกิจการจะเลือกใช้บริการจดบริษัทนิติบุคคลจากสำนักงานบัญชี เพื่อให้เสียภาษีน้อยลงสูงสุดแค่ 20%
3.ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ผู้ประกอบการที่รับจ้างทำโฆษณาหรือตัวแทนโฆษณาในรูปแบบบริษัท ที่ประกอบกิจการรับจ้างทำโฆษณาหรือเป็นตัวแทนโฆษณามีหน้าที่เสียภาษีโฆษณาจากกำไรสุทธิสูงสุด 20% จะต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีดังนี้
การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี จะต้องยื่นแบบแสดงรายการพร้อมชำระภาษี (ถ้ามี) ตามแบบ ภ.ง.ด.51 ภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของทุก 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี
การเสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี จะต้องยื่นแบบแสดงรายการพร้อมชำระภาษี (ถ้ามี) ตามแบบ ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
กล่าวโดยสรุป รูปแบบการโฆษณามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้เกิดรูปแบบรายได้และค่าใช้จ่ายที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามลักษณะธุรกิจ ซึ่งกฎหมายภาษีอากรกำหนดให้เป็นเงินได้ตามประเภทต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว
ด้วยเหตุนี้เจ้าของธุรกิจโฆษณาจึงต้องทำการชำระภาษีโฆษณาตามกฎหมายที่กำหนด ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจโฆษณาของเราเจริญเติบโต และยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร ดังนั้นการจัดการธุรกิจโฆษณาและภาษีโฆษณาอย่างมืออาชีพ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting