ยุคออนไลน์ กับการก้าวสู่โลกภาษี e-Payment
โลกในปัจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกด้าน และส่วนหนึ่งทำให้ธุรกิจขายของออนไลน์ขยายตัวต่อเนื่อง ให้ผู้บริโภครับได้ง่ายและยังจ่ายสะดวกผ่านระบบ e-Payment เมื่อทำธุรกรรมผ่านระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ทำธุรกรรมเหล่านี้อาจต้องเสียภาษีเช่นกัน
โลกในปัจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกด้าน ไม่ว่าทางด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยผ่านตัวกลางอินเทอร์เน็ตและสื่อออนไลน์ หรือ digital platform ต่าง ๆ digital globalization จึงกลายเป็นโลกยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของออนไลน์ของคนยุคใหม่เข้ามามีบทบาทอย่างมากเช่นกัน และส่วนหนึ่งทำให้ธุรกิจขายของออนไลน์ขยายตัวต่อเนื่อง ให้ผู้บริโภครับได้ง่ายและยังจ่ายสะดวกผ่านระบบ e-Payment เมื่อทำธุรกรรมผ่านระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ทำธุรกรรมเหล่านี้อาจต้องเสียภาษีด้วยเช่นกัน แล้วขั้นตอนมีอะไรบ้าง ใครต้องจ่ายบ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อมกันดังนี้
e-Payment คืออะไร
การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment ) เป็นทางเลือกใหม่ที่กฎหมายสร้างขึ้นเพื่อรองรับระบบภาษี และเอกสารธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกในการยื่นรายการภาษีตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรือเอกสารเกี่ยวกับภาษีอากรตามพระราชบัญญัติภาษีอากรที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562
โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบในการส่งข้อมูลไปยังกรมสรรพากร ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารของรัฐบาล และผู้ให้บริการทางการเงินอื่นๆ เช่น ช่องทางการชำระเงิน ซึ่งมีหน้าที่ต้องรายงานการฝากหรือรับธุรกรรมการโอนไปยังกรมสรรพากร ซึ่งกรมสรรพากรตรวจสอบสถานะภาษีและข้อมูลนี้จะถูกส่งไปยังสถาบันการเงินแต่ละแห่งแยกกัน และผู้ให้บริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้รวมหรือเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
ข้อมูลธุรกรรมแบบไหนเข้าข่ายถูกส่งสรรพากร
ธุรกรรมที่สถาบันการเงินและผู้ให้บริการด้านการเงิน มีหน้าที่ต้องส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรนั้น ข้อมูลจะมาจากยอดเงินเข้าบัญชีของผู้มีรายได้ ทั้งที่เสียภาษีแบบบุคคลธรรมดา และที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เมื่อมียอดเงินเข้าบัญชีถึงเกณฑ์เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ดังนี้
- ฝากเงินเข้าบัญชีหรือรับฝาก 3,000 ครั้งต่อปี ไม่ว่าจะจำนวนเท่าใดก็ตาม
- ฝากเงินตั้งแต่ 400 ครั้งต่อปี และฝากมากกว่า 2 ล้านบาทต่อปี ต้องตรงตามเงื่อนไขทั้งสองนี้ข้อมูลธุรกรรมจึงจะถูกส่งไปยังกรมสรรพากร คำนวณเป็นรายปีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึง 31 ธันวาคมของปีนั้นๆ
การฝากและการโอนเงินเข้าบัญชี ได้แก่
- ยอดเงินฝากเข้าบัญชีทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเคาน์เตอร์หรือตู้ฝากเงิน
- ยอดรับโอนเงินเข้าบัญชี ทั้ง Auto Transfer / Online / iBanking
- ยอดรับโอนเงินเข้าบัญชีจากเครื่องรูดบัตร โดยนับตามจำนวนครั้งที่รูด แม้ธนาคารจะโอนยอดครั้งเดียวหลังสิ้นวัน
- ยอดเงินฝากเช็คเข้าบัญชี
- ยอดเงินเข้าบัญชีจากดอกเบี้ย
- ยอดเงินเข้าบัญชีจากเงินปันผล
ทั้งนี้ เมื่อยอดเงินเข้าบัญชีถูกส่งให้กับกรมสรรพากร ก็จะเป็นข้อมูลที่กรมสรรพากรนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการคำนวณภาษี หากประมวลผลร่วมกับข้อมูลอื่นๆ แล้วพบว่ามีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี ผู้มีรายได้ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษี e-Payment นั่นเอง
ข้อมูลของสถาบันการเงินต้องนำส่งกรมสรรพากร
หากมีเงินฝากหรือรับโอนเงินเข้าบัญชีถึงเกณฑ์เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ทางกรมสรรพากรจะได้รับข้อมูลต่างๆ ที่สถาบันการเงินส่งให้ดังนี้
-เลขบัตรประจำตัวประชาชน / เลขนิติบุคคล
-ชื่อ-นามสกุล เจ้าของบัญชี / ชื่อนิติบุคคล
-จำนวนครั้งของการฝากหรือรับโอนเงินต่อปี
-ยอดรวมของการฝากหรือรับโอนเงินต่อปี
-เลขที่บัญชีที่มีการฝากหรือรับโอนเงิน
ทำอย่างไรเมื่อข้อมูลธุรกรรมถึงเกณฑ์ แล้วถูกส่งให้กรมสรรพากร
เมื่อพบว่ามีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่ต้องส่งให้กับกรมสรรพากร ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเรียกเก็บเงินย้อนหลัง เพราะอย่างไรก็ตามคุณต้องวางแผนรายได้และค่าใช้จ่ายให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินเข้าบัญชีผ่านการขายสินค้าหรือธุรกิจอื่นๆ เนื่องจากกรมสรรพากรต้องประมวลผลข้อมูลอื่นๆ ด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกติดตาม ตัวอย่างเช่น
- ต้องทำบัญชีรายรับรายจ่ายที่ชัดเจน จดรายรับและรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงของคุณในแต่ละครั้ง
- ต้องทำงบกำไรขาดทุนทุกครั้งที่บันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายจริงของคุณ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการยื่นภาษี นอกจากนี้ ยังทำให้ทราบถึงสถานะทางการเงินที่แท้จริงของคุณได้อีกด้วย
- ผู้ประกอบการที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถเขียนรายการเงินสดได้เฉพาะเมื่อบันทึกรายรับและรายจ่ายเท่านั้น สำหรับรายการที่โอนผ่านระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ สามารถดูรายการเคลื่อนไหวของบัญชีธนาคารย้อนหลังได้ แล้วใช้บันทึกรายรับรายจ่ายในแต่ละวัน
- จัดเตรียมเอกสาร หลักฐานการรับโอนเงินให้ชัดเจน ในกรณีผู้ประกอบธุรกิจเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่เลือกหักค่าใช้จ่ายแบบตามจริง รวมถึงกิจการจดทะเบียนบริษัทนิติบุคคล จะต้องเก็บเอกสารการค้าและธุรกรรมการเงินที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน รวบรวมเอกสารดังกล่าวเพื่อใช้สิทธิหักค่าใช้จ่ายแบบตามจริงตอนยื่นภาษี จะช่วยทำให้การยื่นภาษีถูกต้องตรงกับข้อมูลที่แท้จริง
กล่าวโดยสรุป ในปัจจุบันเทคโนโลยีและการเป็นมาตรฐานของภาษีได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้การชำระภาษีผ่าน e-Payment กลายเป็นทางเลือกหลักของผู้เสียภาษี
ดังนั้น หากผู้มีรายได้ชำระภาษีและยื่นภาษีอย่างถูกต้อง ก็จะไม่มีภาษี e-Payment หรืออีกนัยหนึ่ง ระบบ e-Payment จะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจนั่นเอง ที่สำคัญผู้ประกอบการควรแยกบัญชีธนาคารสำหรับใช้งานส่วนตัวออกจากบัญชีธนาคารสำหรับธุรกิจ และยื่นภาษีของคุณตั้งแต่เริ่มต้น แม้จะมีธุรกรรมที่เข้าเกณฑ์ก็ต้องยื่นกับกรมสรรพากร เพื่อไม่ให้ธุรกิจสะดุดจากการตรวจสอบจากกรมสรรพากร
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting