การปัดฝุ่นโครงการแลนด์บริดจ์ของรัฐบาลไทย
นักวิชาการ แนะรัฐบาลอ้าแขนรับหลากเม็ดเงินต่างชาติร่วมลงทุน "แลนด์บริดจ์" ชี้ไม่ควรพึงพาเพียงเงินทุนจากจีน หวั่นไทยสูญเสียอำนาจบริหารจัดการพื้นที่ และให้คำนึงถึงความมั่นคงของประเทศด้วย
ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านน่าจะได้ยินข่าวคราวการรบของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธฮูตีและอิสราเอลมาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว และเร็วๆ มานี้การรบก็ขยายตัวกลายเป็นการยึดคาบสมุทรแถบทะเลแดง (Red Sea) และการปล้นโจมตีเรือขนส่งสินค้า ซึ่งเส้นทางดังกล่าวมีความสำคัญต่อการขนส่งสินค้า อาหาร น้ำมัน และยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ของกลุ่มประเทศที่สนับสนุนอิสราเอลเป็นอย่างมาก เนื่องจากเส้นทางนี้เป็นเส้นทางหลักที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างตะวันออกกลาง เอเชียไปจนถึงทวีปยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกา และจากรายงานของ The Guardian (2023) ได้สรุปไว้ว่ากว่าร้อยละ 30 ของการขนส่งสินค้าทางทะเลทั่วโลกใช้เส้นทางนี้ในการเดินทาง ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ทำให้ผู้เขียนกลับมาคิดถึงโครงการหนึ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในประเด็นของการขนส่งสินค้าต่าง ๆ ระหว่างประเทศของประเทศไทย ซึ่งหากถ้าทำสำเร็จน่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซียอยู่พอสมควร นั่นก็คือโครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge project)
จากเป้าหมายการพัฒนาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางในปี 2037 โครงการแลนด์บริดจ์เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกใหม่สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยจะเป็นการพัฒนาและเชื่อมโยงระบบขนส่งระหว่างฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามันเข้าด้วยกัน ซึ่งจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ที่จะเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) ซึ่งประกอบไปด้วย 4 จังหวัดที่เกี่ยวข้องคือ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช โดยโครงการดังกล่าวมีมูลค่าของแผนการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท ประกอบไปด้วยการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทั้งฝั่งของจังหวัดชุมพรให้เป็นท่าเรือที่ทันสมัย ก้าวสู่ Smart Port เพื่อให้เป็นสะพานในการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจของฝั่งอ่าวไทยไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิก และจังหวัดระนองให้เป็นท่าเรือน้ำลึกสำหรับสินค้าคอนเทนเนอร์และเป็นประตูของการเชื่อมโยงเศรษฐกิจของฝั่งทะเลอันดามันไปสู่มหาสมุทรอินเดีย การพัฒนาพื้นที่โดยรอบ การสร้างระบบการขนส่งเพื่อเชื่อมโยงท่าเรือทั้งสองแห่งเป็นระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร อาทิเช่น ทางหลวงและทางรถไฟ รวมไปถึงท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติต่าง ๆ เป็นต้น โดยการลงทุนดังกล่าวจะเป็นการลงทุนในรูปแบบเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public-Private Partnership: PPP) โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนจากต่างประเทศ
โครงการดังกล่าวได้ถูกนำมาปัดฝุ่นครั้งแรกในช่วงปี 2021 ยุครัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (ซึ่งในความเป็นจริงแล้วโครงการแลนบริจด์ได้ถูกอนุมัติมาตั้งแต่ปี 1989) โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจในภาคใต้ผ่านการเชื่อมโยงทะเลทั้งสองฝั่งเพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางระบบลอจิสติกส์ของทวีปเอเชีย (Logistics hub of Asia) จนมาถึงในยุคของรัฐบาลเพื่อไทยนำโดยคุณเศรษฐา ทวีสิน ที่ยังคงสนับสนุนโครงการดังกล่าวโดยเน้นไปที่การเชิญชวนนักลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะนักธุรกิจจากประเทศจีนเข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาโครงการดังกล่าวเพื่อเชื่อมโยงกับโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของรัฐบาลจีน ซึ่งท่านนายกฯ ได้กล่าวถึงโครงการแลนบริดจ์อย่างน่าสนใจ ในงาน APEC CEO summit เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาว่า “โครงการแลนบริดจ์ของประเทศไทยจะเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิกเข้าด้วยกัน โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางไปอ้อมไกลถึงท่าเรือประเทศสิงคโปร์ซึ่งมีความแออัดเป็นอย่างมาก และโครงการนี้ยังสามารถช่วยลดระยะเวลาการขนส่งสินค้าได้ โครงการแลนบริดจ์นี้ไม่เพียงเป็นโครงการที่สำคัญของประเทศไทย ยังเป็นโครงการสำคัญของโลกอีกด้วย”
ผลกระทบต่อประเทศไทย
โครงการดังกล่าวตั้งเป้าที่จะลดระยะเวลาการเดินทางระหว่างคาบสมุทรอินเดียและคาบสมุทรแปซิฟิกลงประมาณ 4-9 วัน และลดค่าใช้จ่ายจากการขนส่งสินค้าและการเดินทางลงประมาณร้อยละ 15 ทำให้บริษัทขนส่งสินค้าทางเรือต่าง ๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องเดินทางไปอ้อมไกลถึงช่องแคบมะละกา (Strait of Malacca) ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดขนส่งและขนถ่ายสินค้าทางทะเลที่วุ่นวายมากที่สุดในโลก ซึ่งกว่า 1 ใน 4 ของการขนส่งสินค้าทั่วโลกผ่านที่ช่องแคบมะละกาแห่งนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความสนใจของบริษัทขนส่งทางเรืออยู่พอสมควร โดยภาครัฐได้คาดการณ์ไว้ว่าหลังจากโครงการแล้วเสร็จจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยเป็นมูลค่าสูงถึงปีละ 1.3 ล้านล้านบาท และสามารถเพิ่ม GDP ให้กับประเทศได้ถึงร้อยละ 5.5 เลยทีเดียว มากไปกว่านั้นภาครัฐตั้งเป้าที่จะทำให้เกิดการจ้างงานทั้งสิ้นประมาณ 300,000 ตำแหน่ง ซึ่งจากแผนของภาครัฐโครงการแลนบริจด์นี้น่าจะแล้วเสร็จและสามารถดำเนินการได้จริงในช่วงปลายปี 2030 มากไปกว่านั้นตลอดเส้นทางการพัฒนาท่าเรือกว่า 90 กิโลเมตรนั้นก็จะถูกพัฒนาตามไปด้วยเช่นเดียว ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงานเชิงพาณิชย์ บ้านที่อยู่อาศัย โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงอุตสาหกรรมภาคบริการเช่น ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า และโรงพยาบาล เป็นต้น เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่จะส่งผลต่อการเพิ่มของมูลค่าที่ดินและธุรกิจตลอดทางสองฝั่งอย่างมหาศาล มีผลดีต่อการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐและคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยอย่างแน่นอน
ผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้าน
หลังจากที่รัฐบาลของเราได้หยิบยกโครงการดังกล่าวขึ้นมาปัดฝุ่น และวางแผนการพัฒนาโครงการฯ อย่างจริงจัง ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2023 ที่ผ่านมา The Straits times Singapore (2023) ได้รายงานว่าคุณ Chee Hong Tat รัฐมนตรีคมนาคมของประเทศสิงคโปร์ได้กล่าวถึงกรณีของโครงการแลนบริจด์ของไทยอย่างทันท่วงทีว่า “แม้ว่าโครงการแลนบริดจ์นั้นจะสามารถลดระยะเวลาการเดินทางระหว่างคาบสมุทรได้ แต่ก็อาจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ถึงอย่างไรก็ตามบริษัทขนส่งน่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งผ่านเส้นทางนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าการเดินทางผ่านเส้นทางช่องแคบมะละกา (Strait of Malacca) ที่ต้องผ่านประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซียด้วยซ้ำไป เนื่องจากต้องเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าหลายครั้ง” ซึ่งแตกต่างจากความคิดเห็นของ Assoc. Prof. Antonio L Rappa อาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัย Singapore University of Social Sciences ที่พูดไว้ว่า “ถ้าหากโครงการแลนบริดจ์นี้สำเร็จจะส่งผลกระทบต่อรายได้และเศรษฐกิจของประเทศสิงคโปร์ไม่ต่ำกว่า 50 ปีเลยทีเดียว”
การจุดประกายโครงการแลนบริดจ์ของรัฐบาลชุดนี้ ได้เข้าไปปิดตายโครงการคลองคอคอดกระ (Kra Canal project) ที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันในการเชื่อมโยงทะเลตะวันตกและทะเลตะวันออกของประเทศไทย แต่จะเป็นการขุดคลองลึกแทนการทำถนนและทางรถไฟ ซึ่งโครงการนี้ในอดีตได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมากจากรัฐบาลจีน แต่ก็ไม่สามารถนำออกมาทำได้จริง อันเนื่องมาจากปัจจัยสำคัญหลายเรื่องโดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งประเทศไทยออกเป็นหลายส่วน แต่ในความเป็นจริงแล้วโครงการแลนบริดจ์ก็ยังมีข้อน่ากังวลอยู่หลากหลายประเด็นโดยเฉพาะจากมุมมองของผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการฯ ในสายตาของคนในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิ่งที่ต้องสูญเสียไปโดยเฉพาะในประเด็นของผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยว วิธีชีวิตของคนในรูปแบบดั้งเดิม และที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านั้นจะคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งรัฐบาลของเรานั้นยังไม่ได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environment Impact Analysis: EIA) ของโครงการนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะผลกระทบของโครงการฯ ที่มีต่อชาวบ้านและชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงในประเด็นของระบบนิเวศน์ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ น้ำ พื้นดิน สัตว์ป่า และพืชพันธุ์ต่าง ๆ เป็นต้น
และที่สำคัญไม่แพ้กันคือประเด็นที่เกี่ยวข้องภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่รัฐบาลในยุคปัจจุบันเชิญชวนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนจากประเทศจีนซึ่งถ้าหากมีเม็ดเงินมาจากจีนมากจนเกินไปในการพัฒนาโครงการดังกล่าวอาจจะทำให้รัฐบาลไทยสูญเสียอำนาจการบริหารจัดการพื้นที่ที่เกี่ยวข้องในโครงการนี้ อย่างที่เราทราบกันดีว่ารัฐบาลจีนและบริษัทของประเทศจีนนั้นได้เข้าไปให้เงินช่วยเหลือและเข้าไปลงทุนในหลากหลายประเทศ ทั้งกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกลุ่มเอเชียใต้ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่รับความช่วยเหลือทางด้านการเงินจากจีนมากพอสมควร อาทิเช่น เงินให้ยืมเพื่อสร้างท่าเรือ Hambantota ในประเทศศรีลังกา ท่าเรือ Gwadar ในประเทศปากีสถาน รวมไปถึงรถไฟความเร็วสูงในประเทศลาว เป็นต้น
ดังนั้น เพื่อให้การสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ของประเทศไทยราบรื่น และไม่เจอกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการล่วงล้ำหรือแทรกแซงอำนาจอธิปไตยของประเทศ รัฐบาลจึงควรที่จะให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับการขยายความร่วมมือในประเด็นของการนำเม็ดเงินมาลงทุนในโครงการดังกล่าวให้ไม่เพียงพึ่งพาแค่เม็ดเงินจากจีนเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาถึงความมั่นคงของประเทศด้วยการนำพันธมิตรจากประเทศอื่น ๆ เข้ามาร่วมลงทุนเช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศยุโรป เป็นต้น สุดท้ายนี้ผู้เขียนอยากจะกระตุ้นให้ภาครัฐนำศาสตร์ในการบริหารการทูตที่ประเทศเราใช้มาอย่างยาวนานนั่นก็คือ “การทูตแบบไผ่ลู่ลม” หรือ “bamboo diplomacy” เข้ามาใช้ในการทำโครงการนี้ โดยตั้งเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ
โดย อ.ดร.กติกา ทิพยาลัย คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิยาลัย