Ferrari ลุ้นเปิดตัวรถ Limited รุ่นใหม่
หากพูดถึงรถซูเปอร์คาร์หลายท่านน่าจะนึกถึง Ferrari รถหรูในฝันของใครหลายๆคน สำหรับแฟนพันธุ์แท้น่าจะพอทราบข่าวกันมาบ้างแล้วว่า ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 Ferrari (RACE) สามารถทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง หลังยอดจองรถ SUV Purosangue ทะลัก ซึ่ง Ferrari ได้เผยงบการเงินไตรมาส 4 ปี 2566 ดีกว่าตลาดคาด โดยมีรายได้โต 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มีกำไรโต 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดขายชิ้นส่วนรถที่โต 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ในภาพรวมปี 2566 รายได้โต 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรโต 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากการปรับราคาขายรถขึ้นราว 8% ในปีที่ผ่านมา ทีม BLS Global Investing หลักทรัพย์บัวหลวง มองว่า กำไรของ Ferrari ยังคงมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องจากยอดสั่งจองรถ SUV Purosangue ที่แข็งแกร่ง (ราคารถประมาณ 41 ล้านบาท สูงกว่ารุ่นปกติที่เฉลี่ยราว 15-20 ล้านบาท) ล่าสุดบริษัทเผยว่า ยอดสั่งจองพุ่งขึ้นในครึ่งหลังปี 2566 หลังจากกลับมารับออเดอร์ในเดือน มิ.ย.2566 จากที่หยุดรับชั่วคราวมาตั้งแต่เดือน ต.ค.2565 (เปิดตัวรถรุ่นนี้ไปเมื่อเดือน ก.ย.2565) อีกทั้งบริษัทได้เริ่มผลิตรถรุ่นดังกล่าวแบบเต็มกำลังในไตรมาส 4 ปี 2566
ที่ผ่านมา Ferrari ใช้กลยุทธ์ผลิตรถปีละเพียงหลักหมื่นคัน หนุนให้แบรนด์แข็งแกร่ง โดยบริษัทยังมีรถบางรุ่นที่ผลิตในจำนวนจำกัดเพียงหลักร้อยคันเท่านั้น ที่เรียกว่ากลุ่มรถ “Icona Series” ที่มีแรงบันดาลใจจากรถ Ferrari รุ่นเก่าที่ใช้ในสนามแข่ง ปัจจุบันมี 3 รุ่น ได้แก่ Monza SP1 และ SP2 ที่เปิดตัวเมื่อปี 2561 รุ่นละ 499 คัน ราคาราว 60 ล้านบาท และมียอดจองเต็มตั้งแต่เปิดตัว
ส่วนรุ่นล่าสุด คือ Daytona SP3 เปิดตัวเมื่อเดือนพ.ย. 2564 และผลิตเพียง 599 คัน ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ราว 77 ล้านบาท แต่หากมีการเพิ่มชุดแต่งราคาอาจสูงถึงราวคันละ 100 ล้านบาท ปัจจุบัน Daytona SP3 ถูกจองหมดแล้วตั้งแต่เปิดตัว แต่ด้วยกระบวนการผลิตที่ลูกค้าปรับแต่งสีภายในและเพิ่มชุดแต่งได้จึงทำให้เริ่มส่งมอบได้ในปี 2566 จำนวน 150 คัน (สัดส่วนราว 5% ของรายได้)
สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์ Ferrari มีความแข็งแกร่งที่ลูกค้ายอมรอการผลิตได้นานเป็นหลักปี ส่วนในปีนี้บริษัทตั้งเป้าส่งมอบรถที่เหลืออีก 449 คันให้หมด แปลว่าบริษัทจะรับรู้รายได้เต็มจำนวน (ราว 14% ของรายได้) และอาจเป็นปัจจัยหนุนกำไรในปีนี้หลังรถมีอัตรากำไรสูงถึงราว 60% ต่อคันสูงกว่าค่าเฉลี่ยรถรุ่นอื่นที่ราว 40-42%
ขณะที่คาดการณ์จาก Bloomberg cons. เผยอาจหนุนอัตรากำไรของภาพรวมบริษัทแตะ 40% เป็นครั้งแรกในปี 2568 เร็วกว่าที่บริษัทตั้งไว้ในปี 2569
นอกจากนี้เรามองว่าบริษัทมีโอกาสที่จะออกรถ Icona Series รุ่นใหม่ในปีนี้ หลังเห็นสถิติว่าบริษัทเว้นระยะเวลาการออกใหม่รุ่นละ 3 ปี (จากปี 2561 มาปี 2564)
ปัจจุบันราคาหุ้น RACE ปรับขึ้นมาประมาณ 12.5% นับจากวันที่เผยงบไตรมาส 4 ปี 2566 เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2567 ซึ่งเรามองว่ารับรู้งบที่ดีกว่าคาดไปพอสมควรแล้ว และปัจจุบันมูลค่าหุ้นเริ่มดูตึงตัว โดย P/E ปี 2567 อยู่ที่ 46.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 39.2 เท่า จึงมีโอกาสที่หุ้นจะพักตัวลงมาได้ในระยะสั้น
อย่างไรก็ดีเราแนะนำให้ใช้จังหวะดังกล่าวเป็นโอกาสในการลงทุน โดยอาจพิจารณาเข้าสะสมบริเวณแนวรับเชิงเทคนิคเนื่องจากมองว่าบริษัทยังอยู่ในเส้นทางที่ดีสำหรับกำไรขยายตัวสู่ธุรกิจรถ EV ในปี 2568 แม้ว่าบริษัทยังต้องมีการลงทุนในปี 2567-2569 มากกว่าช่วงปกติราว 25% แต่เรามองว่าจะเป็นการคงจุดเด่นของ Ferrari ในแง่ของคุณภาพรถ เนื่องจากบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีเองทั้งหมดต่างจากรถหรูแบรนด์อื่น เช่น Bentley Porsche ที่ใช้เทคโนโลยีของบริษัทแม่ Volkswagen