posttoday

ตัดท่ออำนาจ ป.ป.ช. ”บิ๊กป้อม” เสือสิ้นลาย!

03 กันยายน 2567

จับตา การเมืองไทย เข้าสู่ห้วงเวลา “นิติสงคราม-เข้าสู่โหมดต่อสู้ทางกฎหมาย-คดีความ-กดดัน-ไล่ล่าสกัดกั้นกันทุกเม็ด” ”บิ๊กป้อม” “พี่ใหญ่” กลุ่มบูรพาพยัคฆ์และกลุ่ม 3 ป.“ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” จะกลายเป็นเสือสิ้นลายหรือไม่ ไม่ช้ารู้ผล!

ตัดท่ออำนาจ ป.ป.ช. ”บิ๊กป้อม” เสือสิ้นลาย!

เชอร์ล็อค โอ...เป็นนามปากกาของนักข่าว ผู้มีประสบการณ์ข่าวเชิงลึก ในด้านเศรษฐกิจการเมือง การเงิน การคลัง ตลาดหุ้น ตลาดทุน และมีความสนใจในเรื่องธนกิจการเมือง เป็นพิเศษ
 

จับตากันให้ดี การเมืองไทยหลังจากนี้จะเป็นห้วงเวลาของ “นิติสงคราม-เข้าสู่โหมดต่อสู้ทางกฎหมาย-คดีความ-กดดัน-ไล่ล่าสกัดกั้นกันทุกเม็ด” และเป็นห้วงเวลาของการต่อสู้ของคนมีฤทธิ์ ที่ใครขวางทาง ไม่รู้ทางลม อาจถึงฆาตได้!

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประธานกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด อดีตรักษาการนายกรัฐมนตรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา  อดีตรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อดีตผู้บัญชาการทหารบก “พี่ใหญ่” กลุ่มบูรพาพยัคฆ์และกลุ่ม 3 ป.“ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” จะกลายเป็นเสือสิ้นลายหรือไม่ ไม่ช้ารู้ผล!

รู้ผลยกแรก เป็นสงครามใหญ่ในองค์กรอิสระ ที่รู้จักกันในนาม ป.ป.ช.

นับตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2558 จนถึงวันที่ 9 ก.ย. 2567 เฮียกุ้ย-พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการ ปปช.มา 9 ปีเต็ม จะเกษียณอายุราชการ เนื่องจากครบ 70 ปีบริบูรณ์ ทำให้ตำแหน่ง ประธาน ป.ป.ช. ต้องว่างลง

การครบวาระของเฮียกุ้ย-พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ มิใช่จบเพียงแค่ตัวเอง แต่หมายถึง ท่ออำนาจของ ป.ป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในส่วนขององค์กรอิสระที่ถือระเบิดนาปาล์ม พร้อมโยนใส่ข้าราชการ นักการเมือง ไม่ว่าตัวโต ตัวเล็ก จบสิ้นไปด้วยเช่นกัน

ต้องไม่ลืมว่า พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ นั้นผูกพันกับ ครอบครัววงษ์สุวรรณ ทั้งพี่ทั้งน้อง

ป.ป้อด-พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นผู้แต่งตั้งขึ้นเป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติฝ่ายกิจการพิเศษ และขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ป.ป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คือนาย ที่พล.ต.อ.วัชรพล ต้องดูแลพิเศษในฐานะรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อครั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี 

และพล.อ.ประวิตร นี่แหละให้ลาออกเพื่อสรรหาเป็น ปปช.ในปี 2558 และขึ้นพรวดเป็นประธาน ป.ป.ช.แทนนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ที่ครบวาวะลง

ประธาน ป.ป.ช.คนใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่รอบนี้จึงสำคัญ ในการตัดท่ออำนาจพี่ใหญ่ป่ารอยต่อ ที่พร้อมเปิดสนามรบกับรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ชนิดที่คนเป็นพ่อเผลอไม่ได้!!

ตามกระบวนการแล้ว กรรมการ ป.ป.ช.ที่มีอยู่ 6 คน จะต้องมีการประชุม เพื่อลงคะแนนเสียงเลือก ประธาน ป.ป.ช. คนใหม่ เข้ามาทำหน้าที่แทน

ป.ป.ช. 6 คน ประกอบด้วย 1.นายวิทยา อาคมพิทักษ์ อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. อดีตกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ,2.นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อดีตอธิบดีดีเอสไอ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม , 3.นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุขอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งมีนบุรี , 4.นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ อดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 6, 5.นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อดีตอธิบดีกรมการปกครอง , 6.นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง อดีตรองประธานศาลฎีกา

ตามธรรมเนียม... เมื่อ ประธาน ปปช.พ้นตำแหน่ง นายวิทยา อาคมพิทักษ์ ผู้มีอาวุโสสูงสุด ก็จะทำหน้าที่รักษาการประธานกรรมการ ป.ป.ช.แทนไปก่อน แต่นายวิทยานั้นจะพ้นวาระพฤศจิกายน 2567  ขณะที่ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อาวุโสรองลงมา ครบวาระในช่วงเดือนธันวาคม 2567 เช่นกัน

ตัวเต็งขึ้นตำแหน่งประธาน ปปช.ตอนนี้ จึงเหลือแค่ 4 ราย  1. นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข 2.นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ 3.นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง  4. นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์

ถ้ายึดตามอาวุโสการเข้าเป็น ปปช.เต็ง 1 ต้องเป็น นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งมีนบุรี ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง วันที่ 10 กรกฎาคม 2563 ครบวาระ 7 ปี ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2570

นายสุชาตินั้นถือว่า บุญมีแต่กรรมบัง เพราะเอกสารหลุดออกมาจาก พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ลุยไฟสู้จากการถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ได้ทำหนังสือขอคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของนายสุชาติ เกี่ยวกับการพิจารณาหรือวินิจฉัยข้อกล่าวหาในคดี

สาเหตุเพราะ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ พานายสุชาติ เข้าหา “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” เพื่อขอเข้าสู่ตำแหน่งกรรมการ ปปช. แต่ตอนหลังเกิดขัดใจกันอย่าหนัก ขนาดมีคำพูดในทำนองว่า “ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวยก็แล้วกัน...

แค่นี้ “สุชาติ” ถือว่า จบเกมในการเป็นประธาน ปปช. ขืนเลือกไปเป็นประธาน รับรองไม่ใช่แค่สุชาติเป็นตำบลกระสุนตก องค์กร ป.ป.ช.จะมัวหมองไปทั้งหมด จากการวิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่งแล้วจะมีหน้าไปเชือดใคร...

อีกปัจจัยหนึ่ง ป.ป้อม-กลายเป็นศัตรูถาวรกับเพื่อไทยไปแล้ว ถ้าขนาดเข้าร่วมรัฐบาล ผู้นำจิตวิญญาณเพื่อไทยประกาศก้องว่า... ต้องไม่มี “วงษ์สุวรรณ” ร่วมครม. และตัดส.ส.พรรคพลังประชารัฐออกจากสารบบร่วมรัฐบาลจนเกิดการแค้นเคืองกันไปทั้งป่า คุณคิดว่าจะเข้าป้ายหรือไม่?

จะมีใครหน้าไหน ปล่อยให้ “สุชาติ” ผู้วิ่งเข้าหา ลุงป.ป้อม ลอยชายขึ้นเป็นประธาน ปปช. ฝันไปเถอะ

รายต่อมาที่เป็นตัวเต็งขึ้นประธาน ปปช.คือ นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ อดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค 6 ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2567 จะครบวาระ 7 ปี ช่วงเดือนมกราคม 2574

อาวุโสต่อมาคือ แมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง เมื่อ 19 มีนาคม 2567 จะครบวาระ 7 ปี ในเดือนมีนาคม 2574

อาวุโสน้อยสุดคือ นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง  เป็นกรรมการ ป.ป.ช.ในกลุ่มที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งคนล่าสุด เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 

ขอบอกว่า แม้ “ภัทรศักดิ์” จะอาวุโสในการเข้าเป็น ปปช. น้อยสุด แต่ประวัติไม่ธรรมดา ปี 2546 เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญากลาง, ปี 2547 เป็นผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ประจำสำนักประธานศาลฎีกา ปี 2549 เป็นเลขาธิการศาลฎีกา

ปี 2552 เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ประจำสำนักประธานศาลฎีกา, ปี 2554 ขึ้นเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง, ปี 2556 เป็นเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม, เป็นเป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา,ปี 2565 เป็นรองประธานศาลฎีกา

ถ้าเทียบชั้นในระนาบผู้พิพากษาผู้มาจากศาลยุติธรรมที่เป็น ปปช.3 ราย นายภัทรศักดิ์ อดีตรองประธานศาลฎีกา คือตัวเต็งขึ้นประธาน ปปช. คนต่อไป แน่ยิ่งกว่าซื้อหวยเลขเด็ด...

เพราะตามหลักการแล้ว ผู้พิพากษาจะยึดถือเรื่องความอาวุโสในตำแหน่งผู้พิพากษาเป็นหลัก ถ้า 3 เสียงรวมกันเป็น 1 เมื่อไหร่ “ภัทรศักดิ์ วรรณแสง” มีโอกาสเป็นประธาน ปปช.คนใหม่มากสุด แม้นายสุชาติจะอยู่ในตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. มานานที่สุดก็ตาม 

และนั่นเท่ากับ เป็นการตัดเส้นทางคนของ”ป่ารอยต่อ”ในหน่วยงาน ป.ป.ช.ที่ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของ ป.ป้อม ทิ้งทันที

ที่ผ่านมาองค์กรนี้คืออาวุธเด็ดที่ “ป.ป้อม-ป.ป้อด” ใช้เป็นเครื่องมือในการต้อนนักการเมืองเข้าคอก แล้วยอมสยบในบ้านป่าได้อย่างชะงัดที่สุด

แม้รัฐธรรมนูญ 2560 จะกำหนดชัดว่า กรรมการ ป.ป.ช. มีวาระดำรงตำแหน่งเพียง 7 ปีเท่านั้น แต่เชื่อหรือไม่ มีกรรมการป.ป.ช.ถึง 3 คน ที่มีวาระการดำรงตำแหน่งนานกว่าคนอื่น อยู่ที่ 9 ปี ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 

1. พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ  2. สุวณา สุวรรณจูฑะ  3. วิทยา อาคมพิทักษ์ ทั้ง 3 คน ได้รับความเห็นชอบจาก สนช. และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งพร้อมกัน เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2558 จะครบวาระธันวาคม 2567 ทั้ง 3 คน

ตัดท่ออำนาจ ประธาน ป.ป.ช. ของบิ้กป้อมไม่พอ รอบนี้ยังลากไปถึงการสกัดท่ออำนาจ “เลขาธิการ ป.ป.ช. คนใหม่” ที่มีการวางเด็กสร้างไว้ แทนที่ นายนิวัติไชย เกษมมงคล ที่เกษียณอายุราชการลงแบบตัดบัวไม่เหลือเยื่อใย

เปิดรับสมัครไปแล้ว ปรากฎมีผู้สมัครเป็น “เลขาธิการ ปปช. 3 คน” 1.นายสุรพงษ์ อินทรถาวร 2.นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ 3. พล.ต.ต.อรุณ อมรวิริยะกุล ทั้ง 3 คน ล้วนแล้วแต่เป็น “รองเลขาธิการ ป.ป.ช.” แต่ที่มาต่างกันลิบลับ

“นายสุรพงษ์-นายสาโรจน์” ไต่เต้ามาจากลูกหม้อ และต้องการคามก้าวหน้าเติบโตในชีวิตข้าราชการตามจารีตของ ปปช.

ขณะที่พล.ต.ต.อรุณ เติบโตมา “จากนาย” จนถูกค่อนขอดใน ป.ป.ช.ว่า “เด็กเส้น” เขาเคยเป็นอดีตนายเวร ติดตาม พล.ต.อ.วัชรพล มาตั้งแต่สมัยนั่งรอง ผบ.ตร. กระทั่งได้รับเลือกให้เป็นประธาน ป.ป.ช. ก็ตั้ง พล.ต.ต.อรุณ เป็นหนึ่งในคณะทำงาน นั่งตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ ประธานกรรมการ ป.ป.ช.

เขามีพี่ชายคือ พล.ต.พล.ต.อมร อมรวิริยะกุล อดีตหัวหน้าสำนักงานรัฐนตรี กระทรวงกลาโหม เป็นหน้าห้อง ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ของกลุ่ม 3 ป. มาอย่างยาวนาน

วันที่ 18 พฤษภาคม 2562 มีการแต่งตั้งผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งมีที่ว่าง 11 ที่นั่ง มีผู้สมัครมากถึง 99 ราย แต่กลับโอนย้าย ‘พล.ต.ต.อมร คนนอก’ เข้ามาเสียบแทน 1 ที่นั่ง โดยใช้เหตุผลว่าเพื่อประสานคดีความกับทางตำรวจ ไม่ถึง 5 ปี ขึ้นรองเลขาธิการ ป.ป.ช.และลุ้นเป็นเบอร์ 1 ใน ป.ป.ช. 

เดิมถ้าไม่ผิดโผ “พล.ต.ต.อรุณ”คือ เลขาธิการ ป.ป.ช.คนใหม่ รักษาอำนาจป่าไว้ต่อไป พอถึงบัดนี้การสรรหาจะสรุปผลออกมาเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้

รู้กันแต่เพียงเสียงคำรามจากเสียงของคนตัวจริงเสียงจริงว่า รอบนี้ได้เวลาตัดท่ออำนาจอันยิ่งใหญ่ของ ป.ป้อม ทิ้งแบบสะเด็ดน้ำ

แถมได้คนตรง น่าเชื่อถือ มาอยู่ในมือรัฐบาลเพื่อไทย อะไรมันจะถูกที่ถูกเวลาได้ขนาดนี้!