เปิดเทคนิคการบริหารภาษีให้คุ้มค่า สไตล์ธุรกิจสินค้าแฮนด์เมด SME
ธุรกิจสินค้าแฮนด์เมดเป็นธุรกิจที่ทำด้วยมือโดยช่างฝีมือเฉพาะทาง ดังนั้นด้านภาษีธุรกิจสินค้าแฮนด์เมด SME จะต้องมีเทคนิคการบริหารจัดการให้คุ้มค่า
ธุรกิจสินค้าแฮนด์เมดเป็นธุรกิจที่เน้นการผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ทำด้วยมือโดยช่างฝีมือเฉพาะทาง การทำสินค้าด้วยมือทำให้สินค้าแต่ละชิ้นที่ออกมามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีความแตกต่างจากสินค้าที่ผลิตด้วยเครื่องจักรอุตสาหกรรม โดยสินค้าที่ทำด้วยมือมักมีคุณภาพสูงเนื่องจากมีความพิถีพิถันในการผลิตอย่างมาก
นอกจากนี้ธุรกิจสินค้าแฮนด์เมด SME (Small and Medium Enterprises) จะมีศักยภาพในการจำหน่ายสินค้าสูงมากในตลาดปัจจุบัน ซึ่งการขายสินค้าแฮนด์เมดจะสามารถตั้งราคาขายได้เอง ทำให้เกิดรายได้ค่อนข้างไม่แน่นอน ดังนั้นในด้านภาษีธุรกิจสินค้าแฮนด์เมด SME จะต้องมีเทคนิคการบริหารจัดการอย่างไรได้บ้าง สามารถพิจารณาได้จากบทความดังต่อไปนี้
เคล็ดลับการประกอบธุรกิจสินค้าแฮนด์เมด SME ให้ประสบความสำเร็จ
1. ต้องวางแผนธุรกิจโดยกำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และกลยุทธ์การตลาดให้ชัดเจน
2. เลือกประเภทของสินค้าที่เจ้าของธุรกิจมีทักษะและความชำนาญในการทำ เช่น เครื่องประดับ เสื้อผ้า ของตกแต่งบ้าน ฯลฯ
3. ค้นหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงและเหมาะสมกับสินค้าที่จะผลิต
4. สร้างแบรนด์ที่เป็นเอกลักษณ์และสะท้อนถึงตัวตนของสินค้าและผู้ผลิต
5. ใช้ช่องทางการตลาดออนไลน์และออฟไลน์ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ ตลาดนัด หรือร้านค้าเฉพาะทาง
ประเภทภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสินค้าแฮนด์เมด SME
การจัดเก็บภาษีสำหรับธุรกิจสินค้าแฮนด์เมด (Handmade) ในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในประเทศไทย จะมีหลักการพิจารณาจากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น รายได้ต่อปี การจดทะเบียนธุรกิจ และประเภทธุรกิจ สามารถอธิบายได้ดังนี้
1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากเจ้าของธุรกิจสินค้าแฮนด์เมด มีรายได้ต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาท ต้องทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และเก็บภาษีในอัตรา 7% จากการขายสินค้าและบริการ แต่หากรายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
2. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล) เป็นภาษีที่เจ้าของธุรกิจต้องเสียจากรายได้สุทธิที่ทำการขายสินค้า และจะต้องยื่นแบบแสดงรายได้และเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยอัตราภาษีจะขึ้นอยู่กับฐานรายได้ที่เกิดขึ้น
3. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (สำหรับธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นบริษัทหรือนิติบุคคลอื่นๆ) ธุรกิจสินค้าแฮนด์เมด SME ที่มีกำไรสุทธิไม่เกิน 3 แสนบาท จะได้รับการยกเว้นอัตราภาษี และได้รับอัตราภาษีร้อยละ 15 ของกำไรสุทธิ สำหรับกำไรสุทธิที่เกิน 300,001 บาท แต่ไม่เกิน 3,000,000 บาท ซึ่งต้องยื่นแบบแสดงรายได้ และเสียภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล SME
4. ภาษีธุรกิจเฉพาะในกรณีที่ธุรกิจสินค้าแฮนด์เมดเข้าข่ายเป็นธุรกิจที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ก็ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะด้วย
การบริหารภาษีให้คุ้มค่าสำหรับธุรกิจสินค้าแฮนด์เมด SME
การบริหารภาษีให้คุ้มค่าสำหรับธุรกิจสินค้าแฮนด์เมด SME เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเทคนิคที่สามารถนำไปปรับใช้ในการทำธุรกิจได้มีดังนี้
1. การจัดทำบัญชีอย่างถูกต้อง ควรเก็บรักษาใบเสร็จรับเงินและเอกสารที่เกี่ยวข้องทุกฉบับไว้เป็นหลักฐาน และใช้โปรแกรมบัญชีให้เหมาะสมกับขนาดธุรกิจ
2. การวางแผนภาษี ควรวางแผนล่วงหน้าเกี่ยวกับรายรับและรายจ่ายประจำปี รวมถึงศึกษากฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการหักภาษีที่สามารถทำได้
3. การหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ทำการตรวจสอบว่าค่าใช้จ่ายใดบ้างที่สามารถหักได้ เช่น ค่าเช่า ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าวัสดุอุปกรณ์ หากมีการใช้ยานพาหนะส่วนตัวเพื่อธุรกิจ ให้บันทึกระยะทางและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อทำเป็นค่าใช้จ่ายได้
4. การเลือกประเภทองค์กร ต้องพิจารณาว่าการจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วน บริษัทจำกัด หรือเป็นเจ้าของคนเดียว จะมีผลทางภาษีเพราะแต่ละประเภทขององค์กรมีข้อดีและข้อเสียทางภาษีที่แตกต่างกัน
5. การใช้สิทธิประโยชน์ภาษี ตรวจสอบว่ามีสิทธิประโยชน์ภาษีใดบ้างที่สามารถใช้ได้ เช่น การลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ทั้งนี้ควรศึกษาสิทธิพิเศษสำหรับธุรกิจในบางประเภท เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชนหรือสิ่งแวดล้อม
6. การใช้ที่ปรึกษาทางภาษี หากเจ้าของธุรกิจไม่มั่นใจในการบริหารภาษี ควรหาที่ปรึกษาทางภาษีที่มีประสบการณ์ สามารถช่วยให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์และลดความเสี่ยงทางภาษี
7. การเก็บรักษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ควรเก็บรักษาเอกสารและใบเสร็จรับเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าและบริการเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งการมีเอกสารที่ครบถ้วนจะช่วยในการตรวจสอบภาษีในอนาคต
กล่าวโดยสรุป การจัดการภาษีอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจประหยัดเงินและลดภาระทางภาษีได้ ในขณะเดียวกันการบริหารภาษีอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดมากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจของคุณปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอย่างถูกต้อง แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting