posttoday

คนทำธุรกิจนำเข้า SME ต้องวางแผนภาษีนำเข้าให้ดี

09 ตุลาคม 2567

ธุรกิจ SME นำเข้าสินค้าจำเป็นต้องวางแผนภาษีนำเข้าอย่างรอบคอบ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและประสิทธิภาพในการจัดการภาษี

           ในยุคที่การค้าไร้พรมแดนและกำลังเฟื่องฟู หลายๆ ธุรกิจ SME เริ่มมองเห็นโอกาสในการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า ขยายฐานกำไร และสร้างความโดดเด่นในตลาดมากยิ่งขึ้น  

           นอกจากนี้สำหรับคนทำธุรกิจ SME นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จะมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่เจ้าของกิจการควรทราบ ซึ่งบทความนี้จะรวบรวมเคล็ดลับการวางแผนภาษีที่จะช่วยให้เจ้าของกิจการ SMEประสบความสำเร็จในการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยมีรายละเอียดดังนี้

ธุรกิจนำเข้า SME ต้องเสียภาษีศุลกากร (Customs Duty)

           ภาษีศุลกากร (Customs Duty) เป็นภาษีที่รัฐบาลเก็บจากสินค้าที่นำเข้ามาในประเทศ อัตราภาษีศุลกากรจะขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า โดยสินค้าบางประเภทอาจได้รับการยกเว้นหรือลดอัตราภาษีตามข้อตกลงทางการค้าเสรีระหว่างประเทศ ซึ่งกรมศุลกากรมีหน้าที่จัดเก็บภาษีที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสามารถอธิบายได้ดังนี้

           ภาษีอากรขาเข้า (Import Duty) จะคำนวณจากมูลค่าสินค้าตามอัตราภาษีที่กำหนดไว้ โดยภาษีนี้มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ ยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเคลื่อนย้ายสินค้าผ่านด่านศุลกากร และส่งเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ

           ทั้งนี้อัตราภาษีอากรนำเข้าในประเทศไทยจะแตกต่างกันไปตามชนิดและประเภทของสินค้า สินค้าแต่ละประเภทจะถูกกำหนดอัตราภาษีที่แตกต่างกันตามพิกัดศุลกากร (Harmonized System: HS Code) ซึ่งแบ่งสินค้าออกเป็นหลายกลุ่ม โดยสินค้าที่มีการผลิตในประเทศหรือสนับสนุนเศรษฐกิจจะมีภาษีต่ำกว่าหรือได้รับการยกเว้น ในขณะที่สินค้าฟุ่มเฟือยหรือมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศจะมีอัตราภาษีสูงกว่า ตัวอย่างอัตราภาษีอากรนำเข้าที่แตกต่างกัน เช่น

  1. สินค้าฟุ่มเฟือย เช่น กระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับ จะมีอัตราภาษีสูงอยู่ที่ 35%
  2. สินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์การผลิตบางประเภทอาจมีอัตราภาษีต่ำหรือได้รับการยกเว้นภาษี อยู่ที่ 0%-10%
  3. สินค้าเกษตร เช่น ผลไม้ เนื้อสัตว์ มักมีภาษีในระดับที่เหมาะสมตามเงื่อนไขที่กำหนด
  4. สินค้าทั่วไป เช่น เสื้อผ้าอัตราภาษีนำเข้าอยู่ที่ 30% โทรทัศน์อัตราภาษีนำเข้าอยู่ที่ 20%
  5. สินค้าทางการแพทย์ อัตราภาษีนำเข้าอยู่ที่ 0%-10%

ธุรกิจนำเข้า SME ต้องเสียภาษีสรรพสามิต

           สำหรับธุรกิจนำเข้า SME ในประเทศไทย การเสียภาษีสรรพสามิตจะขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าที่นำเข้า หากสินค้าที่นำเข้ามาอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต เช่น สุรา ยาสูบ น้ำมัน น้ำหอม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น ธุรกิจนำเข้าก็ต้องเสียภาษีสรรพสามิตตามที่กฎหมายกำหนด โดยอัตราภาษีสรรพามิตสำหรับสินค้าแต่ละประเภทแตกต่างกันไป ดังนี้  

  1. ธุรกิจนำเข้าสุรา อัตราภาษีขึ้นอยู่กับปริมาณแอลกอฮอล์
  2. ธุรกิจนำเข้ายาสูบ อัตราภาษีขึ้นอยู่กับประเภทของยาสูบ
  3. ธุรกิจนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง อัตราภาษีขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำมันเชื้อเพลิง
  4. ธุรกิจนำเข้ารถยนต์ รถจักรยานยนต์ อัตราภาษีขึ้นอยู่กับขนาดเครื่องยนต์

           ดังนั้น ควรตรวจสอบประเภทของสินค้าที่นำเข้าและศึกษากฎหมายภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจว่าปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายได้ถูกต้อง

ธุรกิจนำเข้า SME ต้องเสียภาษีสรรพากร

           ธุรกิจนำเข้าขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ต้องเสียภาษีสรรพากรเหมือนกับธุรกิจทั่วไป ขึ้นอยู่กับประเภทและขนาดของธุรกิจ สามารถอธิบายได้ดังนี้

           1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล หากธุรกิจจดทะเบียนเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งอัตราภาษีจะขึ้นอยู่กับกำไรสุทธิของธุรกิจในแต่ละปี

           2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากธุรกิจนำเข้า SME มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายสินค้าและบริการ

           3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับบางประเภทของรายได้ เช่น ค่าจ้างที่จ่ายให้พนักงานหรือผู้ให้บริการภายนอก นิติบุคคลต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และนำส่งให้กับกรมสรรพากร

ธุรกิจ SME กับการคำนวณภาษีนำเข้า

           การคำนวณภาษีนำเข้า (Import Duty) โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงประเภทของสินค้ามูลค่าสินค้า และอัตราภาษีที่ใช้สำหรับสินค้านั้นๆ โดยข้อมูลวิธีการคำนวณเบื้องต้นสามารถอธิบายได้ดังนี้

           1. ต้องระบุประเภทของสินค้าให้ถูกต้องตามระบบ Harmonized System (HS Code) เนื่องจากแต่ละประเภทของสินค้าจะมีอัตราภาษีที่ต่างกัน

           2. สูตรคำนวณมูลค่าสินค้า CIF Value = ราคาสินค้า + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย

           3. ตรวจสอบอัตราภาษีจากฐานข้อมูลของศุลกากร หรือเว็บไซต์ของศุลกากรของประเทศนั้นๆ โดยใช้อัตราภาษีที่สอดคล้องกับ HS Code ของสินค้า

           4. สูตรคำนวณภาษีนำเข้า คือ ภาษีนำเข้า = CIF Value x อัตราภาษี

ตัวอย่างการคำนวณ

สมมุติว่าสินค้าที่มีราคาซื้อ 10,000 บาท มีค่าขนส่ง 1,000 บาท และค่าประกันภัย 500 บาท

สูตรคำนวณมูลค่าสินค้า CIF Value = 10,000 + 1,000 + 500 = 11,500 บาท

อัตราภาษีนำเข้า สมมุติว่าอยู่ที่ 10%

ภาษีนำเข้าจะอยู่ที่ = 11,500 x 10% = 1,150 บาท

           จากตัวอย่างการคำนวณนี้เป็นแบบเบื้องต้นเท่านั้น และอาจมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ต้องคำนวณเพิ่มเติมอีกด้วย

           กล่าวโดยสรุป การวางแผนภาษีนำเข้าที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจ SME สามารถจัดการภาระภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ทั้งนี้แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษีโดยตรงเพื่อจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องและป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่  Inflow Accounting