อ่านเกมลงทุนหุ้นไทยปี 2025 ยามเศรษฐกิจโลก-ไทยไร้เรี่ยวแรง
เศรษฐกิจไทยมีความเกี่ยวข้องกับการค้าและการท่องเที่ยวระดับโลกมาโดยตลอด ในช่วงก่อน COVID ระหว่างปี 2552-2562 การส่งออกคิดเป็น 65-70% ของ GDP และรายได้จากการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็น 12% ของ GDP แม้โครงสร้างเศรษฐกิจแบบนี้จะช่วยเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย แต่ก็ทำให้การชะลอตัวเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น การปรับลดประมาณการ GDP ของไทยมักจะแรงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 2-3 เท่า ในยุคหลัง COVID หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น, การลงทุนจากต่างประเทศที่ชะลอตัว และการชะลอการใช้จ่ายของรัฐบาลจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยล่าช้ากว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยรวม
สถานการณ์เศรษฐกิจไทยมีผลโดยตรงต่อการเติบโตของกำไรใน SET จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่า การปรับลดประมาณการ GDP ลง 1% มักจะส่งผลให้ประมาณการกำไร SET ลดลง 4.4% ในช่วงปลายวงจรของเศรษฐกิจ (ช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว) ในปี 2558 และ 2562 การปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของ SET ลดลง 5.5% และ 9.5% ตามลำดับ ซึ่สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนไหวของกำไร SET ต่อการเติบโตของ GDP
วงจรเศรษฐกิจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทไทยใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ คุณภาพ การเติบโต, กำไรที่ดีกว่าคาด, การปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น, ความสามารถในการทำกำไร และมูลค่าหุ้นในช่วงปลายวงจรเศรษฐกิจมักจะเป็นช่วงที่กลุ่ม Defensive big-cap เช่น กลุ่มค้าปลีกของใช้จำเป็น (consumer staples) กลุ่มสื่อสาร, กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มการแพทย์จะมีผลการดำเนินงานดีกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆทั้งในด้านรายได้และอัตรากำไร
กลุ่ม Defensive big-cap เป็นผู้นำกลุ่มที่ตัวเลขกำไรมักดีกว่าคาดด้วยสัดส่วนบริษัทที่มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งกว่าคาดเทียบแย่กว่าคาด (beat-to-miss ratio) ที่สูงกว่า และ valuations ที่ทรงตัว ในขณะที่กลุ่ม Cyclical/ Sensitive มีความสามารถในการทำกำไรที่อ่อนแอลงอย่างมากและเห็นการปรับประมาณลงแรงอย่างชัดเจน ดังนั้นหุ้น Defensive big-cap จึงเป็นตัวเลือกที่ดีเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงปลายวงจร
เราเชื่อว่าคาดการณ์กำไรปี 2568 ของตลาดที่ 97 มีความเสี่ยง เนื่องจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่สำคัญที่เป็นตัวหนุนการ เติบโตชองกำไรปี 2568 มักเป็นกลุ่มที่มีผลประกอบการไม่ดีนักในช่วงปลายวงจรเศรษฐกิจ เช่น ปิโตรเคมี นอกจากนี้ กำไรที่อ่อนแอในไตรมาส 3 ปี 2567 และการปรับลดประมาณการกำไรอย่างต่อเนื่องยิ่งจะทำให้เรามีความกังวลมากขึ้นอีก ทั้งนี้ SET มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในช่วงเติบโตแบบปกติอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปีในช่วงเฉลี่ย 5 ปีที่ก่อนหน้า COVID-19 ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์การเติบโตเฉลี่ยของตลาดปี 2568 ที่ 11% อย่างมาก ในช่วงปลายวงจรเศรษฐกิจโลก
การปรับลดประมาณการ GDP ของ ไทยมักจะลดลงมากกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 2-3 เท่า ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงขาลงของกำไรปี 2568 ของตลาดราว 2-4% เราคาดการณ์กำไรปี 2568 ที่ 95 (เพิ่มขึ้น 9% จากคาดการณ์กำไรปี 2567 ที่ 87) ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ 2%
กลยุทธ์การลงทุนปี 2568 ยังคงระมัดระวังในสถานการณ์ของ SET ดังนั้นเน้นไปที่การลงทุนในหุ้น Defensive big-cap ได้แก่ กลุ่มค้าปลีกของใช้จำเป็น (consumer staples) อย่าง CPAXT, CPALL, กลุ่มสื่อสาร, กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มการแพทย์
ส่วนธีมการลงทุนอื่น ๆ ได้แก่ 1.ผู้ได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและอัตราดอกเบี้ย (กลุ่มธุรกิจการเงิน) [MTC], 2. ผู้นำการเติบโตของกำไร (กลุ่มไอซีที, กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม) [CBG] และการฟื้นตัวของกลุ่มการท่องเที่ยว (โรงแรม, การ ท่องเที่ยว, การขนส่ง) [AOT], และ 3. การย้ายการผลิตมายังประเทศไทยจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน (กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม, กลุ่มโรงไฟฟ้า) [AMATA, WHAUP]
ส่องเทรนด์ “ทองคำ” ปี 2568 ลุ้นทะลุ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ?
อ่านเกมลงทุนเดือน พ.ย.67 เปิดมุมคิดสงครามการค้า
DW เครื่องมือสร้างกำไรช่วงตลาดขาขึ้นและลง
CEO ใหม่ Brian กับภารกิจ พลิก Starbucks สู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง