ทำเกษตรจัดเป็นธุรกิจขนาดเล็ก (SME) หรือไม่ มีผลกับการเสียภาษีอย่างไร
ธุรกิจการเกษตรจัดเป็น SME หรือไม่? เงื่อนไขการเสียภาษีและสิทธิประโยชน์ที่ควรรู้ การทำเกษตรสามารถเป็นธุรกิจ SME ได้ หากเข้าเกณฑ์ด้านรายได้และจำนวนพนักงาน ซึ่งมีผลต่อภาษี การยกเว้นภาษี และสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ
การทำเกษตรหรืออาชีพเกษตรกร เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งเมื่อเกษตรกรมีรายได้จากการทำเกษตรนั่นหมายความว่า ต้องมีหน้าที่เสียภาษีนั่นเอง แต่จะต้องเสียภาษีมากน้อยหรือได้ยกเว้นภาษี จำเป็นต้องตรวจสอบเงื่อนไขต่างๆ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีด้วย
ทั้งนี้ การเช็กเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด จะต้องเริ่มจากขนาดการทำการเกษตร ต้นทุน ค่าใช้จ่ายที่มี จำนวนแรงงานที่ใช้ และอื่นๆ ซึ่งสามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ดังนี้
ทำการเกษตรจัดอยู่ในกลุ่ม SME หรือไม่
การประเมินว่าอาชีพเกษตรกร ต้องเสียภาษีตามหลักเกณฑ์ใด ก่อนอื่นให้ตรวจสอบก่อนว่า การทำเกษตรจัดอยู่ในกลุ่มธุรกิจ SME หรือไม่ เนื่องจากหลักการคำนวณภาษีจะต่างจากธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันเกณฑ์การจัดประเภท SME ที่กำหนดโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) แบ่งธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
1.กลุ่มการผลิต เช่น ธุรกิจในภาคเกษตรกรรม ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจในภาคเหมืองแร่
2.กลุ่มการค้า เช่น ห้างสรรพสินค้า เสื้อผ้าสำเร็จรูป
3.กลุ่มการบริการ เช่น ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจโรงแรม
ดังนั้น จากหัวข้อที่ได้ตั้งคำถามว่าธุรกิจการเกษตรจัดอยู่ในกลุ่ม SME หรือไม่นั้น คำตอบจะขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นขนาดของรายได้ จำนวนพนักงาน หรือขอบเขตการดำเนินงาน ตามเกณฑ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนด เช่น ธุรกิจการเกษตรที่มีรายได้ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนดและมีพนักงานในจำนวนที่เหมาะสมสามารถจัดเป็น SME ได้ โดยมีเกณฑ์การพิจารณาขนาดธุรกิจตามจำนวนพนักงานและรายได้ ดังนี้
- ธุรกิจขนาดย่อม จะมีพนักงานไม่เกิน 50 คน และรายได้ต่อปีไม่เกิน 100 ล้านบาท
- ธุรกิจขนาดกลาง จะมีพนักงานระหว่าง 51-200 คน และรายได้ต่อปีระหว่าง 100-500 ล้านบาท
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ธุรกิจการเกษตรที่อยู่ในขอบเขตของเกณฑ์ดังกล่าว เช่น ฟาร์มปลูกพืช ฟาร์มปศุสัตว์ ล้วนถือเป็น SME ทั้งสิ้น ซึ่งไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้กับผู้ประกอบการรายย่อย แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจโดยรวม ช่วยกระตุ้นนวัตกรรม การจ้างงาน และการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์การเกษตร รวมถึงในมุมของภาษีที่ประหยัดกว่าธุรกิจขนาดใหญ่
รูปแบบธุรกิจการเกษตรที่จัดอยู่ในกลุ่ม SME มีอะไรบ้าง
ธุรกิจการเกษตรที่จัดอยู่ในกลุ่ม SME (วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) มีหลากหลายรูปแบบ โดยมักเน้นการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และการสร้างนวัตกรรมที่เหมาะสม ซึ่งตัวอย่างรูปแบบธุรกิจการเกษตรในกลุ่ม SME ประกอบด้วย
1.กลุ่มธุรกิจเกษตรกรรมพื้นฐาน เช่น ข้าว ผัก ผลไม้ อ้อย ยางพารา สมุนไพร โคเนื้อ โคนม ไก่ หมู การเลี้ยงปลา กุ้ง หอย ที่มีการดำเนินงานในขนาดที่ไม่ใหญ่มากและจำหน่ายผลผลิตให้กับตลาดในประเทศ
2.กลุ่มธุรกิจแปรรูปสินค้าเกษตร เช่น น้ำผลไม้ ผลไม้อบแห้ง ฮอร์โมนชีวภาพ แยมผลไม้ต่างๆ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว
3.กลุ่มธุรกิจบริการด้านการเกษตร เช่น การเช่าอุปกรณ์การเกษตร การจัดหาเมล็ดพันธุ์
4.กลุ่มธุรกิจเกษตรเพื่อการท่องเที่ยวและการเกษตรเชิงนวัตกรรม เช่น การจัดฟาร์มสาธิตการทำเกษตร และฟาร์มท่องเที่ยว การขายผลิตภัณฑ์เกษตรในแหล่งท่องเที่ยว Smart Farm
5.กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ชด้านการเกษตร เช่น ตลาดออนไลน์สำหรับเกษตรกร แพลตฟอร์มเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค
ประโยชน์ของการเป็น SME ในภาคการเกษตร
1.การสนับสนุนจากภาครัฐ โดย SME ในภาคการเกษตรมักได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น เงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ การอบรมพัฒนาทักษะ หรือการช่วยเหลือทางด้านการตลาด
2.การเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งธุรกิจที่เป็น SME มีสิทธิ์เข้าถึงแหล่งเงินทุนและสินเชื่อจากธนาคารที่ออกแบบเฉพาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
3.มีโอกาสในการส่งออก ผลิตภัณฑ์การเกษตรที่มีคุณภาพ เช่น อาหารแปรรูปหรือสินค้าส่งออก สามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้ง่ายขึ้น
4.ได้ยกเว้นภาษี 300,000 บาก แรก ในกรณีที่ทำการเกษตรในนามนิติบุคคลจะได้ยกเว้นภาษี 300,000 บาก แรก และเสียภาษีสูงสุดที่ 20% เท่านั้น
ข้อเสียของ SME ในภาคการเกษตร
แม้ SME ในภาคการเกษตรจะมีบทบาทสำคัญ แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญอยู่บ้าง สามารถอธิบายได้ดังนี้
1.ความผันผวนของราคาและผลผลิต ซึ่งปัจจัยสภาพอากาศและโรคระบาดในพืชหรือสัตว์อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิต
2.การขาดความรู้ทางด้านการตลาดและเทคโนโลยี เกษตรบางรายยังขาดความรู้ในการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิตหรือเข้าถึงตลาดใหม่ๆ
3.ปัจจุบันการแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่หรือการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศสร้างความกดดันให้ SME ในภาคการเกษตรเป็นอย่างมาก
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) กับธุรกิจการเกษตรขนาดเล็ก
มักเกิดคำถามเสมอว่า ทำการเกษตรได้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) หรือไม่ ซึ่งในกรณีที่เกษตรกรทำการผลิตเพื่อการบริโภคในครัวเรือนหรือจำหน่ายในปริมาณไม่มาก การเกษตรดังกล่าวมักถือเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือ SME ซึ่งจะได้รับยกเว้น Vat แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
1.การขายพืชผลทางการเกษตรไม่ว่าจะเป็น พืชผล กิ่ง ใบ หน่อ หัว ฝัก เมล็ด หรือส่วนอื่นๆ ของพืช และวัตถุพลอยได้จากพืช ทั้งที่อยู่ในสภาพของสดหรือรักษาสภาพไว้เพื่อมิให้เสียเป็นการชั่วคราวในระหว่างขนส่งหรือเพื่อขาย
2.การขายข้าวสารหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสีข้าว เช่น แกลบ รำ ไม่ว่าจะใส่ในบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบใดก็ตามฃ
3.ผู้ประกอบธุรกิจการเกษตรขนาดย่อมที่มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกิน 1,800,000 บาทต่อปี
กล่าวโดยสรุป ธุรกิจการเกษตรจัดอยู่ในประเภท SME หากเข้าเกณฑ์ที่กำหนดในด้านจำนวนพนักงานและรายได้ การได้รับสถานะเป็น SME ช่วยให้ธุรกิจการเกษตรได้รับการสนับสนุนและสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ และยังช่วยประหยัดภาษีได้
แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวและเพิ่มประสิทธิภาพ การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ SME ภาคการเกษตรเติบโตอย่างยั่งยืนในเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting