
คดี“อั้งยี่-โพยฮั้ว สว.” ไม้ตาย“ยุบพรรคใหญ่”!?!
คดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ปี 2567 ที่ตอนนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม กำลังเปิดศึกกับ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ สว.เพื่อ “รับ-ไม่รับเป็นคดีพิเศษ” ในวันที่ 6 มีนาคม 2567 กำลังเดินเข้าไปสู่ “กับดักของนักการเมืองและพรรคการเมืองใหญ่”
ล่าสุดมีข้อมูลรายชื่อผู้สมัคร สว.ร่วม 1,200 ราย ที่ดีเอสไอ เตรียมเรียกตัวมาสอบปากคำ เพื่อทำการสอบสวนกลุ่มบุคคลที่ เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญาในปฏิบัติการโพยฮั้วเลือก สว. หลุดออกมาสู่สาธารณะ จนเรียกเสียงฮือฮาไปทั้งประเทศ
รายชื่อส่วนใหญ่ เป็นผู้สมัคร สว. ในจังหวัดที่มีจุดสัมพันธ์กับผู้ได้รับเลือกเป็น สว.139 คน และจังหวัดที่ไม่มี สว.แม้แต่คน เดียว
ประกอบด้วย 1.กรุงเทพมหานคร 2.กระบี่ 3.ขอนแก่น 4.จันทบุรี 5.ชัยนาท 6.เชียงราย 7.ตรัง 8.ตราด 9.นครนายก 10. นครราชสีมา 11.นครศรีธรรมราช 12.นครสวรรค์ 13.บึงกาฬ 14.บุรีรัมย์
15.ปราจีนบุรี 16.ปัตตานี 17.พระนครศรีอยุธยา 18.พะเยา 19.พังงา 20.พิจิตร 21.เพชรบุรี 22.ภูเก็ต 23.มหาสารคาม 24.มุกดาหาร 25.ยโสธร 26.ยะลา 27.ระนอง 28.ราชบุรี 29.ลำปาง 30.เลย 31.ศรีสะเกษ
32.สงขลา 33.สตูล 34.สมุทรปราการ 35.สมุทรสาคร 36.สิงห์บุรี 37.สุโขทัย 38.สุรินทร์ 39.หนองคาย 40.หนองบัวลำภู 41.อ่างทอง 42.อำนาจเจริญ 43.อุทัยธานี 44.อุบลราชธานี
ถ้าใครไปสอบทานรายชื่อผู้สมัคร สว.ในข้อมูลที่หลุดออกมา 1,200 รายชื่อ จะอ้าปากค้าง เพราะมีสูตรการจัดเตรียม จัดหา ผู้สมัคร สว.กลุ่มอาชีพในระดับประเทศไว้กลุ่มละ 2 คน นี่จึงเป็นต้นเหตุทำให้จำนวนผู้ได้เป็น สว.รายจังหวัดที่ไม่สมดุล ไม่ยึดโยงกับจำนวนประชากร
ทำให้ กทม.มี สว.น้อยกว่าบุรีรัมย์ และมีถึง 12-13 จังหวัด ที่ไม่มี สว.ได้รับการคัดเลือกแม้แต่คนเดียว
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และ สายข่าวในดีเอสไอ ยอมรับว่า รายชื่อส่วนใหญ่จากเอกสารที่เผยแพร่สู่ สาธารณะนั้น ตรงกับที่พนักงานสอบสวนเตรียมเรียกมาสอบเกือบ 100% แต่จะมีการเรียกผู้เกี่ยวข้องรอบนอก ที่ไม่ใช่ เฉพาะโหวตเตอร์มาสอบด้วย
ขณะเดียวกันก็มีข้อมูลการให้ปากคำของผู้สมัครสว.บางคนที่ไปให้การกับดีเอสไอ หลุดออกมาในกลุ่มสมาชิกรัฐสภา ว่า ในช่วงเดือน มิถุนายน 2567 ที่มีการเลือกตั้ง สว. มีเบอร์โทรศัพท์บางเบอร์ของ “ผู้บงการ-ใช้-จ้างวาน” ที่เป็น “นักการเมืองใหญ่-ทายาทการเมือง” เข้ามาพัวพันในปฏิบัติการวางแผนการเลือก สว.ในครั้งนี้ด้วย
เหนือกว่านั้น ชุดข้อมูลการสอบสวนในเชิงลึกของดีเอสไอ พบว่า สถานที่เกิดเหตุ สถานที่ฮั้ว เลือก สว.ใน 4 พื้นที่ “ย่านเขา ใหญ่-ย่านพระนครศรีอยุธา-ย่านคลองหก ปทุมธานี-ย่านเมืองทอง แจ้งวัฒนะ”
ลึกกว่านั้น ในการสอบปากคำผู้สมัคร สว.ในหลายพื้นที่ของ ดีเอสไอ พบข้อมูลที่ชวนตื่นตระหนก ตกตะลึงว่า “ในช่วงเดือนเมษายน 2567 ภายหลังการตรากฎมายให้มีการเลือกตั้ง สว.พ.ศ.2567 ได้มีการวางแผนปฏิบัติการเพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ของพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง”
“แกนนำ” ในการชี้แจง อธิบายแผนปฏิบัติการ เพื่อให้ได้มาซึ่ง สว.ของพรรคการเมืองใหญ่ โดยชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ ช่องว่าง ของข้อกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่ง สว.ของ กกต.ล้วนแล้วแต่เป็น “นักการเมืองรุ่นใหม่ที่เป็นทายาท” และ ส่วนใหญ่เป็น “กรรมการบริหารพรรค” เสียด้วย
ในสำนวนการสอบสวนคดีของดีเอสไอนั้น ระบุชื่อ สกุล ตำแหน่งชัดเจนว่า Who is who?
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ขอใบ้ให้เป็นหลักฐานสาธารณะ เผื่อว่า “คำให้การชุดนี้จะลบหายไปจากสาระบบ” ก็ได้ว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการชี้แจงแผนปฏิบัติการเพื่อให้ได้มาซึ่ง สว.ของพรรคการเมือง ในคำให้การของผู้สมัคร สว.ที่ถูกสอบปากคำ ประกอบด้วย...
1.นาย น. ผู้มากบารมี 2.นาย ช. ลูกเทพ 3.นาย ภ. ลูกแบด 4.นาย ก. ลูกแชมป์ 5.นาย ธ. ลูกท่านอ๋อง 6.นาย จ. ลุ่มน้ำสะแกกรัง 7.น.ส. น. เมืองดอกบัว 8.นาย ว. ลูกโก 9.นาย เอ ยุดยา ฯลฯ
ผู้จัดทำ นำเสนอแผนปฏิบัติการขึ้นจอคอมพิวเตอร์ในที่ทำการพรรคการเมือง คือ “นาย ภ. ลูกแบด & นาย ช. ลูกเทพ โดยมี นาย น.ผู้มากบารมี” ร่วมประชุมอยู่ด้วย!!!
ในแผนปฏิบัติการที่ชี้แจงให้ผู้ให้ปากคำที่เข้าร่วมประชุมในวันดังกล่าวรับรู้นั้น ก้าวล่วงไปถึงข้อห้ามตามกฎหมายการ ได้มาซึ่ง สว.เสียด้วยซ้ำ เพราะมีการระบุชัดว่า จะมอบหมายให้ "ส.ส.ของพรรคการเมืองนี้" ไปปฏิบัติการ จัดเตรียม จัดหา ผู้สมัครในระดับอำเภอให้ครบทุกกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่ม!!!
ข้อมูลจากการให้ปากคำของผู้สมัคร สว.แก่ดีเอสไอในชั้นนี้ ยังระบุอีกว่า “ในการชี้แจงแผนปฏิบัติการให้ได้มาซึ่ง สว.ของ พรรคการเมืองนี้ บรรดากรรมการบริหารที่เป็นคนรุ่นใหม่ ได้มีการวิเคราะหเ์รื่องการเลือกตั้ง มีการอธิบายการเลือกไข้วกัน ไปมา ไม่ว่าสายไหน ไม่ว่าจะจับสลากไปอยู่ในกลุ่มไหน ก็จะเจอคนที่พรรคจัดวางไว้ เพราะมีการใช้โปรแกรมการคิด คำนวณทางสถิติ การคำนวณคะแนนของผู้สมัคร สว.แต่ละกลุ่มไว้แล้ว”
เมื่อข้อมูลจากปากคำให้การหนาแน่นขนาดนี้ ในทางปฏิบัติดีเอสไอ จึงต้องขอข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของกลุ่มนักการเมืองบาง คน บางเบอร์ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 ที่ปกติจะเก็บไว้ 90 วัน ถ้าเกินกว่า 90 วัน ต้องให้ฝ่ายเทคนิคช่วยตรวจสอบ ข้อมูลประกอบสำนวนคดีอาญา “ฮั้ว อั้งยี่-ฟอกเงิน”
ทั้งหมดนั้นคือ ข้อมูลเชิงลึกในการสอบสวนของดีเอสไอที่ ได้มาจากการสืบเสาะหาข่าว ซึ่งเชื่อได้ว่าดีเอสไอจะมีข้อมูล หนาแน่นกว่านี้
แต่จุดพลิกผันในเรื่องความไม่ชอบมาพากล ในการเลือก สว.เพื่อมาทำหน้าที่ออกกฎหมาย ตรวจสอบ ให้ข้อเสนอแนะกับ รัฐบาล และคัดเลือกแต่งตั้งกรรมการองค์กรอิสระ จะไปตกอยู่ในมือของ “กกต.-ดีเอสไอ” ที่จะประชุมกันในวันที่ 6 มีนาคม 2567 ว่าจะรับเป็น “คดีพิเศษ” หรือไม่ หรือว่าจะมอบให้ กกต.ที่ดูแลการเลือกตั้ง รับหน้าที่ไป
วันที่ 6 มี.ค.2568 คณะกรรมการคดีพิเศษ ที่มี “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯและรมว.กลาโหมเป็นประธาน จะมีการ เชิญประธาน กกต.-รองประธาน กกต.-กรรมการ กกต. มาร่วมประชุม เพื่อชี้แจงประเด็นการเลือก สว.ที่มีโพยฮั้วเกลื่อน เมือง
หากมติที่ประชุม รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษ จะต้องมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อสอบสวน+ขยายผล หาผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิด
เมื่อถึงตอนนั้น พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะออกหมายเรียกพยานกว่า 1,200 ราย เข้ามาให้ปากคำ
จากนั้นจะมีการสอบสวน เก็บรวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าพบว่า บุคคลใดในสถานะพยาน มีส่วนเกี่ยวข้องกระทำความผิด จะเปลี่ยนจากสถานะจากพยาน เป็นผู้ต้องหา เพราะเป็นการกระทำความผิดเป็นเครือข่าย มีผู้ร่วมขบวนการสมคบคิดกว่า 10,000 ราย มีการนัดหมายรวมตัวกัน มีนักคณิตศาสตร์ นักเทคโนโลยีและไอที เซ็ตระบบ
คดีฮั้ว สว.ก็จะเดินเข้าสู่ขั้นตอนทางกฎหมายอาญา ตามกฎหมาย!!
แต่นั่นไม่ร้ายเท่ากับว่า เมื่อคดีอาญาเดินไป กระบวนการเอาผิดบรรดาผู้ร่วมขบวนการสมคบคิด บรรดานักการเมืองใหญ่&บรรดานักการเมืองรุ่นใหม่ที่เป็นทายาท ที่ร่วมกันกระทำการผิดจาก พรป.การได้มาซึ่งสว.ที่ มีข้อห้ามนักการเมือง พรรคการเมืองเข้าไปเกี่ยวพันกับการเลือกตั้งสว.จะพุ่งเข้าใส่ทันที!!!
หลักฐานเด็ดชีพ กลุ่มนักการเมืองผู้เกี่ยวข้องให้ตกเป็นจำเลยอย่างหวาดผวา จึงไปอยู่ที่ข้อมูลการสอบสวน
1.มี สส.จัดหารายชื่อผู้สมัคร สว.ทุกระดับ รวม 20 กลุ่มอาชีพ 2.มีการประชุมชี้แจงแนวทางที่สำนักพรรคการเมืองใหญ่ 3. มีผู้สมัครสว.หลายคนที่เจ้าร่วมรับฟังแผนปฏิบัติการขอเป็นพยาน
4.มีตัวการใหญ่ที่มากบารมีเหนือพรรคเข้าร่วมประชุม 5.มีกรรมการบริหารพรรค+สส.เข้าชี้แจงแผนปฏิบัติการอย่างน้อย 8 คน
เด็ดชีพ เพราะในมาตรา 76 พรป.การได้มา สว.ระบุว่า “หากมีบุคคลหรือพรรคการเมืองที่เข้ามาช่วยเหลือในการ เลือก สว. กฎหมายกำหนดโทษเอาไว้ว่า กรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในพรรค การเมือง สส. สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองช่วยเหลือบุคคลใดเพื่อให้ ได้รับเลือกเป็น สว. หรือทำให้ผู้สมัครผู้ใดไม่ได้รับเลือกต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 - 200,000 บาท...
ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ช่วยเหลือนั้นด้วย…”
ขณะเดียวกันก็เด็ดชีพผู้สมัคร สว. ที่ยินยอมรับความช่วยเหลือไว้ด้วย เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่า “ผู้สมัครคนใดยินยอม ให้ กรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาท้องถิ่น
ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ช่วยเหลือเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 - 200,000 บาท...
ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของบุคคลนั้น 20 ปี
ถ้าผู้สมัคร สว.รับสินบนเพื่อเลือกหรือไม่เลือกผู้สมัคร สว. ในมาตรา 81 กำหนดว่า “ผู้มีสิทธิเลือกผู้ใดเรียก รับ หรือ ยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อเลือกหรืองดเว้นไม่เลือกผู้ใด ต้อง ระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ...
และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี”
ถ้ามีความผิดตามนี้จริง ไม่ได้หมายความว่า “ปัญหาการฮั้ว สว.จะจบลงแค่นั้น เพราะตาม พระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ในมาตรา 92 ระบุว่า “เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อ ได้ว่า พรรคการเมืองใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมือง นั้น ดังนี้”
1) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
2) กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
3) กระทำการฝ่าฝืนอีกหลายมาตราดังนี้
มาตรา 20 วรรคสอง พรรคการเมืองต้องไม่ดำเนินกิจการอันมีลักษณะเป็นการแสวงหากำไรมาแบ่งปัน
มาตรา 28 “ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใด อันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอัน เป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองสมาชิกขาด ความอิสระ ทั้งนี้ไม่ว่าทางตรงหรือโดยทางอ้อม”
มาตรา 30 “ห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือผู้ใด เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมเพื่อจูงใจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใด สมัครเข้าเป็นสมาชิก ทั้งนี้เว้นแต่สิทธิหรือประโยชน์ซึ่งบุคคลจะพึงได้รับในฐานะเป็นสมาชิก”
คดีฮั้วการเลือก สว.ไม่ว่าจะอยู่ในมือ ดีเอสไอ หรือ กกต.ขึ้นต้นอาจเป็นอาญา แต่ลงท้ายจะเดินไปสู่การตัดสิทธิ์ทางการเมืองหรือไม่ก็ยุบพรรคการเมืองแน่นอน
เว้นแต่ “เกิดการฮั้ว” ทางการเมืองของ นักการเมืองไทยมาซ้ำรอยให้ประชาชนคนไทยช้ำใจกับ การเมืองน้ำเน่าของไทย เท่านั้น
ประชาชนทั้งหลายติดตามกันให้ดี อย่าให้ผู้มีบารมี อาศัยปัญหานี้มาต่อรอง เพื่อรักษาอำนาจโดยเด็ดขาด!!