"พิมล vs สุชัย" ศึกชิงประธานโอลิมปิกฯ 25 มี.ค.ชี้ชะตาวงการกีฬาไทย
25 มี.ค. 2568 ชี้ชะตาประธานโอลิมปิกไทยคนใหม่แทน 'บิ๊กป้อม' พิมล ศรีวิกรม์ ดวล สุชัย พรชัยศักดิ์อุดม สูสีทั้งนโยบายและคะแนน สวิงโหวต-ข่าวลือเงินใต้โต๊ะป่วนเลือกตั้ง
วิเคราะห์การชิงตำแหน่งประธานโอลิมปิกแห่งประเทศไทย: ศึกสองขั้ว
25 มีนาคม 2568 เป็นอีกวันสำคัญของวงการกีฬาไทย เมื่อการเลือกตั้งประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยจะตัดสินว่าใครจะมารับช่วงต่อจาก "บิ๊กป้อม" พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่หมดวาระลงไปแล้ว
การแข่งขัน ณ เวลานี้เหลือเพียงสองผู้ท้าชิง ระหว่าง พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโด กับ สุชัย พรชัยศักดิ์อุดม นายกลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย
เนื่องจากอีกหนึ่งตัวเต็งอย่าง คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ยังไม่แสดงเจตุจำนงค์ที่จะลงชิงชัย
งานนี้เป็นการดวลระหว่างสองขั้วอำนาจที่แตกต่าง: นักการเมืองสายซอฟต์พาวเวอร์กับนักธุรกิจสายทุนหนา
กติกาและระบบการโหวต: เส้นทางสู่ชัยชนะ
การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มีสิทธิลงคะแนนทั้งสิ้น 48 เสียง ประกอบด้วย:
- 37 เสียงจากสมาคมกีฬา
- 9 เสียงจากผู้ทรงคุณวุฒิ
- 1 เสียงจาก IOC Member
- 1 เสียงจากตัวแทนนักกีฬา
กระบวนการเลือกตั้งเริ่มจากการคัดเลือกรอบแรกจาก 41 เสียง (สมาคมกีฬาและผู้ทรงคุณวุฒิ) ให้เหลือ 23 เสียง ก่อนจะรวมกับเสียงของ IOC และตัวแทนนักกีฬาอีก 2 เสียง เป็น 25 เสียง ผู้ชนะต้องได้คะแนนเสียงข้างมากอย่างน้อย 13 เสียง
ปัจจัยสำคัญที่อาจชี้ขาดการเลือกตั้งครั้งนี้คือ "สวิงโหวต" จากกลุ่มของคุณหญิงปัทมาที่ถอนตัวไป ซึ่งเสียงเหล่านี้จะไหลไปทางฝั่งใดยังเป็นปริศนา
เทียบฟอร์มจุดอ่อน-จุดแข็ง พิมล vs สุชัย
พิมล ศรีวิกรม์ : การเมืองและซอฟต์พาวเวอร์
ภูมิหลังและจุดยืน
พิมล ศรีวิกรม์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย มีพื้นฐานเป็นนักการเมืองอดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย และเป็นที่ปรึกษานโยบายกีฬาของพรรค นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
นโยบายหลัก
พิมลเน้นการแก้ปัญหาด้านงบประมาณในวงการกีฬา โดยมีข้อเสนอที่โดดเด่น ได้แก่:
- ปรับเพิ่มเบี้ยเลี้ยงนักกีฬาเก็บตัวจาก 900 บาท เป็น 1,200 บาท
- เพิ่มเงินรางวัลซีเกมส์สำหรับเหรียญทองจาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท
- จัดสรรเงินอัดฉีดพิเศษ 2 ล้านบาท ด้วยงบประมาณรวม 150-200 ล้านบาท
จุดแข็ง
- มีเครือข่ายทางการเมืองที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับรัฐบาลชุดปัจจุบัน
- สามารถเข้าถึงงบประมาณด้านซอฟต์พาวเวอร์ได้ง่าย
- มีทีมงานที่แข็งแกร่ง นำโดย "ชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์" ในตำแหน่งอุปนายกคนที่ 1 และ "ธนา ไชยประสิทธิ์" จากโอสถสภา ในตำแหน่งเลขาธิการ
พิมล ศรีวิกรณ์และทีมงานมือเก๋าระดับสร้างเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์
จุดอ่อน
- ภาพลักษณ์ที่ชัดเจนในฐานะ "นักการเมือง" อาจสร้างความกังวลให้กับบางฝ่ายในวงการกีฬา
- อาจเกิดความเคลือบแคลงว่าจะใช้โอลิมปิกเป็นเครื่องมือทางการเมือง
สุชัย พรชัยศักดิ์อุดม: ธุรกิจและประสบการณ์
ภูมิหลังและจุดยืน
สุชัย พรชัยศักดิ์อุดม เป็นนายกสมาคมลอนเทนนิสแห่งประเทศไทยมาแล้ว 2 สมัย และมีประวัติเคยชนะการเลือกตั้งในสมาคมแบบถล่มทลาย เขาเป็นนักธุรกิจด้านพลังงานที่มีฐานะมั่นคง
นโยบายหลัก
สุชัยเน้นการระดมทุนและการสร้างความร่วมมือ โดยมีข้อเสนอหลัก ได้แก่:
- ระดมทุน 200 ล้านบาทจากภาคเอกชน เพื่อจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือสมาคมกีฬาที่ขาดแคลน
- จัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) 3 ฝ่าย ระหว่างโอลิมปิกไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬา
- ตั้งเป้าหมายระยะยาวในการผลักดันให้ไทยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
สุชัย พรชัยศักดิ์อุดม และทีมงานที่สายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับ IOC อย่างสีหศักดิ์ อารีราชการัณฑ์" ลูกชายของอดีต "เสธจารึก" เลขาธิการโอลิมปิก 6 สมัย ในตำแหน่งเลขาธิการ
จุดแข็ง
- มีประสบการณ์บริหารกีฬาโดยตรงและยาวนาน
- มีเครือข่ายในวงการธุรกิจที่สามารถระดมทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม
- มีทีมงานที่มีชื่อเสียง รวมถึง "พิชัย ชุณหวชิร" รัฐมนตรีและนายกสมาคมมวยสมัครเล่น ในตำแหน่งอุปนายก และ "สีหศักดิ์ อารีราชการัณฑ์" ลูกชายของอดีตเลขาธิการโอลิมปิก 6 สมัย ในตำแหน่งเลขาธิการ
จุดอ่อน
- อาจมีอิทธิพลทางการเมืองน้อยกว่าพิมล ทำให้การประสานงานกับรัฐบาลอาจไม่คล่องตัวเท่า
- เป้าหมายบางอย่าง เช่น การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก อาจดูห่างไกลเกินไปสำหรับสมาคมกีฬาบางแห่ง
ประเด็นร้อนและข้อกังวล
การแข่งขันระหว่างสองผู้ท้าชิงมีความสูสีอย่างมาก และมีประเด็นที่น่ากังวลหลายประการ:
ข่าวลือเรื่องเงินใต้โต๊ะ
มีกระแสข่าวลือว่ามีการสัญญาจะจัดสรรเงิน 20-30 ล้านบาทให้กับสมาคมกีฬาต่างๆ โดยอาจมาจากงบประมาณซอฟต์พาวเวอร์ที่ได้รับการจัดสรรไปแล้วถึง 5,200 ล้านบาท ซึ่งหากเป็นความจริงอาจก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมระหว่างกีฬาและการเมือง
บทเรียนจากอดีต
ประสบการณ์ที่ผ่านมาจากสมาคมกีฬาอื่นๆ เช่น สมาคมฟุตบอลฯ ในยุคของ "สมยศ" และ "เนวิน" ชี้ให้เห็นว่าการแทรกแซงทางการเมืองมักส่งผลเสียต่อวงการกีฬาในระยะยาว คำถามสำคัญคือ โอลิมปิกไทยจะเดินซ้ำรอยเดิมหรือไม่ หากตำแหน่งประธานต้องมาพร้อมกับการแจกจ่ายผลประโยชน์ให้กับสมาคมต่างๆ
มุมมองและการวิเคราะห์
การเลือกตั้งประธานโอลิมปิกแห่งประเทศไทยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเลือกบุคคล แต่เป็นการเลือกทิศทางและแนวทางการพัฒนากีฬาของประเทศ:
ทางเลือกระหว่างการเมืองกับธุรกิจ
พิมลนำเสนอตัวเองในฐานะผู้ที่สามารถเชื่อมโยงกับอำนาจรัฐและงบประมาณซอฟต์พาวเวอร์ ในขณะที่สุชัยนำเสนอตัวเองในฐานะนักบริหารที่มีประสบการณ์และความสามารถในการระดมทุนจากภาคเอกชน การตัดสินใจของผู้มีสิทธิลงคะแนนจึงเป็นการเลือกระหว่างสองแนวทางที่มีจุดเด่นและข้อจำกัดแตกต่างกัน
ความท้าทายของวงการกีฬาไทย
ไม่ว่าใครจะได้รับเลือก ความท้าทายที่รออยู่คือการพัฒนาวงการกีฬาไทยให้มีมาตรฐานระดับสากล ลดการแทรกแซงทางการเมือง และสร้างความยั่งยืนทางการเงิน โดยคำนึงถึงประโยชน์ของนักกีฬาและการพัฒนากีฬาในระยะยาวเป็นสำคัญ
วันที่ 25 มีนาคม 2568 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการกีฬาไทย การตัดสินใจว่าใครจะเป็นผู้นำคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยคนต่อไประหว่าง พิมล ศรีวิกรม์ หรือ สุชัย พรชัยศักดิ์อุดม จะส่งผลกระทบต่อทิศทางและอนาคตของวงการกีฬาไทยอย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งที่น่ากังวลคือการต่อสู้ทางการเมืองและผลประโยชน์ที่แฝงอยู่เบื้องหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ ท้ายที่สุดแล้ว กีฬาควรเป็นของนักกีฬาและเพื่อการพัฒนานักกีฬา ไม่ใช่สนามแข่งขันของนักการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ หวังว่าผลลัพธ์จากการเลือกตั้งครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นสำหรับวงการกีฬาไทย ไม่ใช่การซ้ำรอยประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาด