ไร้เทียมทาน
ไม่ว่าจะต้องเผชิญอุปสรรคที่ชวนให้ต้องประหวั่นพรั่นพรึงสักเพียงใด สุดท้ายแล้ววิธีที่จะฝ่าฟันสิ่งเหล่านั้นไปให้ได้ ก็รวมมาอยู่ที่ “ใจ” ของผู้ที่กำลังเผชิญอุปสรรคอยู่
ไม่ว่าจะต้องเผชิญอุปสรรคที่ชวนให้ต้องประหวั่นพรั่นพรึงสักเพียงใด สุดท้ายแล้ววิธีที่จะฝ่าฟันสิ่งเหล่านั้นไปให้ได้ ก็รวมมาอยู่ที่ “ใจ” ของผู้ที่กำลังเผชิญอุปสรรคอยู่
หากใจพร้อม ใจดี อะไรๆ ก็ผ่านไปด้วยดี แต่ถ้าใจไม่พร้อม ใจไม่ดี ขยับแม้เพียงก้าวเดียวก็ดูจะเป็นปัญหาไปเสียหมด
เมื่อพูดถึงเรื่องใจ ผมมักคิดถึงสำนวนของปรมาจารย์แห่งนิยายกำลังภายในอย่าง “โกวเล้ง” ขึ้นมาอยู่เสมอ
“กระบี่อยู่ที่ใจ หากเยี่ยมยุทธแล้วไซร้ แค่กิ่งไผ่ก็ไร้เทียมทาน”
สำนวนสั้นๆ นั้นรวมเป็นหนึ่งชี้ตรงมาที่ใจของผู้ถือกระบี่ เพราะแม้จะมีกระบี่ที่ดีที่สุดในยุทธภพอยู่ในมือ แต่ถ้าหากใจไม่ประสานกับกระบี่แล้ว กระบี่เล่มนั้นก็เป็นแค่เศษเหล็กที่ไม่มีความแหลมคมในการยุทธ์
ตรงกันข้ามหากใจมาดมั่นประสานเป็นเนื้อเดียวกับกระบี่ในมือ แม้เพียงกระบี่เล่มนั้นจะเป็นแค่กิ่งไผ่ธรรมดา แต่ก็สามารถใช้บรรเลงเพลงกระบี่ได้อย่างไร้เทียมทาน
หนึ่งในการแก้ปัญหาอันฉกาจฉกรรจ์ของคนคนหนึ่งในการใช้ใจนำ จนสามารถเดินหน้าคลี่คลายอุปสรรคข้างหน้าได้อย่างน่าทึ่งก็คือ วีถีของ เนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ รัฐบุรุษและวีรบุรุษแห่งชาติ
ในวันที่ก้าวขึ้นมากุมหางเสือของประเทศแอฟริกาใต้ และกับการต้องเผชิญกับมรสุมแห่งความขัดแย้งระหว่างสีผิวอย่างรุนแรงนั้น แมนเดลา ก็ใช้ใจล้วนๆ พาคนในประเทศฝ่าคลื่นลมที่โหมกระหน่ำไปได้อย่างน่าอัศจรรย์
ประวัติศาสตร์ของแอฟริกาใต้นั้นเต็มไปด้วยรอยร้าวบาดลึกของ “สีผิว” คนผิวขาวผู้ล่าอาณานิคมเป็นผู้ปกครอง ขณะที่ชนพื้นเมืองผิวสีเป็นผู้ถูกปกครอง
ความแตกแยกของสองสีทวีความรุนแรงขึ้นอย่างหนัก คนผิวสีถูกคนผิวขาวกดขี่อย่างหนัก ไร้สิทธิทางสังคมที่เท่าเทียมอย่างสิ้นเชิง นักการเมืองผิวสีอย่างแมนเดลา ถูกส่งไปขังลืมในคุกกลางทะเลยาวนานถึง 27 ปี
จนกระทั่งเกิดการเลือกตั้งในปี 1994 ที่ทุกสีผิวมีสิทธิเดินเข้าคูหา แมนเดลาได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีด้วยคะแนนเสียงอันท่วมท้น ท่ามกลางความหวาดกลัวของคนผิวขาวที่หวั่นกลัวว่าจะถูกแก้แค้นในสิ่งที่เคยทำไว้ และความโกรธขึ้งของคนผิวสีที่พร้อมระเบิดขึ้นเพื่อ “เอาคืน” คนผิวขาว
กลางสมรภูมิแห่งความขัดแย้งนั้น แมนเดลาเริ่มต้นที่ใจของเขาเอง ก่อนจะพาคนในชาติเดินฝ่าไปข้างหน้าพร้อมกัน
ฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Invictus ที่เล่าถึงชีวประวัติของแมนเดลา ในวันแรกที่ก้าวเข้าทำงานในทำเนียบประธานาธิบดี ขณะที่เจ้าหน้าที่หลายคนซึ่งเป็นคนผิวขาวกำลังเตรียมเก็บข้าวของเพื่อย้ายออกนั้น แมนเดลาก็ขอให้ทุกคนเข้ามารวมกันในห้องประชุมและกล่าวขึ้นว่า
“ถ้าคุณกำลังเก็บของเพราะกลัวว่าภาษาหรือสีผิวของคุณ หรือคนที่คุณทำงานให้มาก่อน ทำให้คุณขาดคุณสมบัติที่จะทำงานที่นี่ละก็ ผมอยู่ที่นี่เพื่อบอกคุณว่า คุณไม่ต้องกลัวเรื่องพวกนั้น อะไรที่มันแล้วก็ให้มันแล้วไป อดีตคืออดีต เรากำลังมองไปที่อนาคต เราอยากได้ความช่วยเหลือของคุณ”
วันนั้นแมนเดลาได้เซ็นคำสั่งส่งเจ้าหน้าที่บอดีการ์ดผิวขาวเข้ามาร่วมทีมกับบอดีการ์ดผิวสีคนสนิทของเขา
ขณะที่บอดีการ์ดเข้ามาสอบถามเหตุผลของคำสั่งนั้นด้วยอาการอึดอัด แมนเดลา ก็กล่าวขึ้นว่า “ประเทศสายรุ้งเริ่มขึ้นที่นี่ การปรองดองเริ่มที่นี่ การให้อภัยก็เริ่มที่นี่ด้วย การให้อภัยเป็นการให้อิสระกับวิญญาณ มันลบล้างความกลัวได้ มันจึงเป็นอาวุธที่ทรงพลังมาก”
แมนเดลาเริ่มต้นฝ่าสมรภูมิขัดแย้งด้วย “ใจ” ที่ให้อภัยแก่สิ่งที่ผู้ที่เคยกระทำแก่เขา เขาใช้กีฬามาเป็นเครื่องถักทอสายใยแห่งความปรองดองระหว่างสีผิว แมนเดลาเลือกที่จะสนับสนุนทีมรักบี้ “สปริงบอกซ์” ซึ่งเป็นทีมแอฟริกาใต้ที่มีแต่คนขาวให้|เอาชนะในการแข่งขันรักบี้โลกให้ได้
และในวันที่ “สปริงบอกซ์” มีชัยเหนือ “ออลแบล็ก” จากนิวซีแลนด์ในนัดชิงชนะเลิศนั้น แมนเดลาก็เลือกใส่เสื้อหมายเลข 6 ของทีมสปริงบอกซ์ อันเป็นหมายเลขของ ฟรังซัวร์ ปีนาร์ กัปตันทีมซึ่งเป็นคนขาว มานั่งเชียร์ที่สนามด้วยตัวเอง ท่ามกลางสายตาผู้ชมทั้งสองสีผิวนับล้านทั้งที่อยู่สนามและติดตามการถ่ายทอดสด
ดอกผลจากการใช้ “ใจ” เข้าสลายม่านหมอกแห่งความขัดแย้งเริ่มขึ้น ณ สนามรักบี้แห่งนั้น...
หลังได้มีโอกาสเดินทางไปเห็นห้องขังในคุกกลางทะเลที่ใช้คุมขังแมนเดลา ฟรังซัวร์ ปีนาร์ ก็รำพันกับตัวเองว่า “คุณอยู่ในห้องขังเล็กๆ มา 30 ปีแล้ว เมื่อออกมา คุณยังยกโทษให้คนที่เอาคุณไปขังได้ยังไง”
คำตอบของคำถามดังกล่าวถูกถ่ายทอดผ่านกลอนบทสั้นๆ ที่แมนเดลา เขียนใส่กระดาษมอบให้กับปีนาร์ ก่อนที่จะเข้าแข่งขันรอบชิงชนะเลิศว่า
“สิ่งที่ปกคลุมข้าในยามราตรี
คือความมืดมิดจากขั้วหนึ่งถึงอีกขั้วหนึ่ง
ข้ารู้สึกขอบคุณพระเจ้าองค์ใดก็ตาม
ที่ทำให้ไม่มีใครเอาชนะวิญญาณของข้าได้
ในสถานการณ์ยากลำบาก
ข้าไม่เคยตกใจหรือโอดครวญ
ภายใต้ชะตากรรมที่ถูกกระหน่ำตี
หัวข้าเลือดนอง แต่ไม่ค้อมให้ใคร
เหนือจากสถานที่แห่งความโกรธและน้ำตา
เต็มไปด้วยเงาของความน่าสะพรึงกลัว
ถึงจะมีอันตรายจากกาลเวลา ข้าไม่เคยเกรงกลัว
ไม่ว่าประตูจะแคบเพียงใด การถูกลงโทษมากแค่ไหน
ข้าคือนายของโชคชะตาของข้า
ข้าคือผู้นำพาวิญญาณของข้าเอง”
ระหว่างเส้นทางชีวิตนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเราต้องพบเจอเรื่องมากมายหลากหลาย เรื่องบางเรื่อง ปัญหาบางปัญหาก็ส่งผลกระทบกับใจเราอย่างรุนแรง สิ่งที่ต้องทำอาจมิใช่การนั่งหวาดหวั่นกับสิ่งที่โหมกระหน่ำเข้ามา หากแต่ต้องคอยดูแลควบคุมจิตใจให้ใกล้ชิด
เมื่อคุมใจได้ ก็คุมกายได้ และเมื่อนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใด กายใจก็ผสานเป็นหนึ่งเดินหน้าไปด้วยกัน สติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์พร้อม อุปสรรคข้างหน้า แม้จะดูใหญ่โตราวขุนเขาที่สูงทะมึนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก็จะไม่ทำให้เราหวาดหวั่นจนไหววูบมากจนเกินไป ตรงกันข้ามเมื่อใจนิ่ง เราก็จะพอเริ่มมองเห็นทางในการแก้ปัญหาที่อยู่ข้างหน้าได้อย่างไม่ยากเย็น