posttoday

สรท.หวั่นปมร้อนรัสเซีย-ยูเครน ฉุดออเดอร์ส่งออกไตรมาส 2 วูบ 1.6 แสนลบ.

01 มีนาคม 2565

สรท.ลุ้นสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนจบใน 3 เดือน ห่วงราคาพลังงานพุ่งกระทบคู่ค้าลดออเดอร์ เชื่อส่งออกปีนี้ยังโตได้ 5% ขอรัฐดูแลค่าเงินบาท เตือนผู้ประกอบการลดเสี่ยงรับเงินก่อนส่งสินค้า

ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่าสรท.ติดตามและประเมินผลกระทบจากการสู้รบระหว่างรัสเซีย–ยูเครนและมาตรการตอบโต้ด้านการค้าและการเงินของประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปซึ่งเบื้องต้นอาจมีผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของต้นทุนภาคการผลิต ทั้งจากราคาพลังงานและราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น อาทิ เหล็ก ธัญพืช เซมิคอนดักเตอร์  ส่งผลให้คำสั่งซื้อจากคู่ค้าลดลงบางส่วน

ทั้งนี้ประเมินว่าหากสถานการณ์การสู้รบไม่ยืดเยื้อบานปลายหรือขยายวงกว้างไปมากกว่านี้และสามารถเจรจาหาข้อยุติได้ภายใน 3 เดือน  การส่งออกของไทย ปี 2565 คาดว่าจะยังเติบโตได้ที่ร้อยละ 5 (ณ มีนาคม 2565) โดยไตรมาสแรกจะเติบโตได้ที่ร้อยละ 7-8 เนื่องจากมีการยืนยันคำสั่งซื้อไว้แล้วล่วงหน้าแต่หากสถานกาณ์ยังคงยืดเยื้ออาจกระทบต่อการส่งออกในไตรมาสสองอาจมีคำสั่งซื้อลดลงประมาณ 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.2-1.6 แสนล้านบาท และกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบอาทิ ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า (เครื่องปรับอากาศ)

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมามูลค่าการส่งออกของไทยไปรัสเซียในปี 2564 มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 0.38 ของมูลค่าการส่งออกไทยไปยังทั่วโลก หรือประมาณ 1,028 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่มูลค่าการส่งออกไทยไปยูเครนในปี 2564 มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 0.05 ของมูลค่าการส่งออกไทยไปยังทั่วโลก หรือประมาณ 134.76 ล้านเหรียญสหรัฐ

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ได้แก่ 1.สถานการณ์ข้อพิพาทระหว่างยูเครนและรัสเซีส่งผลต่อหลายปัจจัยที่สำคัญทั้งภูมิรัฐศาสาตร์ เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อมหากสถานการณ์การสู้รบยืดเยื้อบานปลาย อาทิ  ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งรัสเซียเป็นผู้ผลติน้ำมันใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (11% ของการผลิตน้ำมันทั่วโลก)จะทำให้ราคาน้ำมันและก๊าชปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้ารวมถึงต้นทุนการขนส่งปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกราคาพลังงานในตลาดโลก โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะเคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ในกรอบ 100-105 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล  ขณะเดียวกันจะเกิดปัญหาราคาวัตถุดิบขาดแคลนและผันผวน อาทิ เซมิคอนดักเตอร์, เหล็ก, สินค้าธัญพืช เป็นต้น

2. ค่าเงินบาทมีความผันผวนไปในทิศทางแข็งค่า New low ในรอบ 5-7 เดือน จาก Fund flow นักลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดทุนและตลาดพันธบัตรของไทยจำนวนมากส่วนหนึ่งจากการผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมีความผันผวนจากที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกรอบจากที่กำหนดไว้ว่าจะปรับขึ้น 0.50 ในช่วงเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ประกอบกับแรงหนุนจากราคาทองคำที่เริ่มกลับมาเป็นสิทรัพย์ปลอดภัยจากนักลงทุน ประกอบกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย ยูเครน นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในระยะสั้น

3.แรงงานภาคการผลิตขาดแคลนต่อเนื่องกระทบการผลิตเพื่อการส่งออกที่กำลังฟื้นตัว 4. สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 “โอมิครอน”ในหลายประเทศเริ่มมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอีกระลอกรวมถึงประเทศไทย(New high) ขณะที่หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศอย่างไรก็ดียังคงต้องติดตามและประเมินสถานการณ์ไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 อย่างใกล้ชิด 5.ปัญหาความหนาแน่นภายในท่าเรือประเทศปลายทาง ทำให้ต้องใช้ระยะเวลานานในการขนถ่ายสินค้า รวมถึงปัญหา ค่าระวงาเรือทรงตัวในระดับสูง Space allocation ไม่เพียงพอทำให้ไม่สามารถจองระวาง

สำหรับข้อเสนอแนะขอสรท.ไปยังรัฐบาล มีดังนี้ 1. เพื่อเตรียมรับมือต่อความผันผวนของตลาดเงินทั่วโลกที่อาจเกิดจากกรณีพิพาท สรท. ขอให้รักษาเสถรียภาพค่าเงินบาทให้อยู่ในกรอบ 32.5-33.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ  โดยกรณีการชำระเงินระหว่างประเทศ ผู้ประกอบการส่งออกควรต้องขอให้ชำระเงินก่อนส่งมอบสินค้าเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงระดับหนึ่ง  2.เพื่อรับมือต่อการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าทุน สรท. ขอให้รัฐพิจารณาอนุญาตการปรับขึ้นราคาสินค้าได้ตามสัดส่วนราคาต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูงอย่างแท้จริงทั่วโลกเนื่องจากผู้ประกอบการไม่สามารถแบกรับต้นทุนการผลิตที่มีความผันผวนในช่วงสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้น.

3.เร่งมองหาช่องทางเปิดตลาดเพิ่มเติมทดแทนกลุ่มสินค้าที่อาจได้รับผลกระทบจากการชะลอคำสั่งซื้อจากกลุ่มประเทศกรณีพิพาท หากการสู้รบขยายเป็นวงกล้างและมีความยืดเยื้อมากกว่า 3 เดือนขึ้นไป 4. ขอให้ภาครัฐพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำโดยอ้างอิงจากปัจจัยการปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก และขอให้พิจารณาปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการมีต้นทุนแรงงานที่ค่อนข้างสูง