กรี๊ดจอแตก ‘เจมส์ จิรายุ’
แรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ กับบทบาทคุณชายพุฒิภัทรแห่งราชสกุลจุฑาเทพ ละครพีเรียดหลังข่าวค่ำสุดสัปดาห์ดัน “เจมส์จิรายุ ตั้งศรีสุข”
โดย...เบญจมาศ เลิศไพบูลย์ ภาพ ภัทรชัย ปรีชาพานิช/ประกฤษณ์ จันทวงษ์
แรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ กับบทบาทคุณชายพุฒิภัทรแห่งราชสกุลจุฑาเทพ ละครพีเรียดหลังข่าวค่ำสุดสัปดาห์ดัน “เจมส์จิรายุ ตั้งศรีสุข” หนุ่มละอ่อนเมืองชาละวันดังพลุแตกเพียงชั่วข้ามคืน วันนี้กระแส ”เจมส์ จิ” ฮอตกระทั่งสาวกเว็บบอร์ดชื่อดังดึงมาเทียบดาราพันล้านค่ายเดียวกัน “ณเดชน์ คูกิมิยะ” อะไรจะขนาดนั้น โวะโฮะ
บท “ชายภัทร” ศัลยแพทย์ประสาทอันดับ 1 ของประเทศไทย และอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ ทำเอาสาวน้อยใหญ่อยากวิ่งเข้าโรงพยาบาลนอนให้ชายหมอลงมีดซะงั้น วันนี้เดินไปทางไหนมีแต่สาวๆ ตั้งวงเมาท์ชายหมอ ให้เลย 3 คำ “หล่อ กรี๊ด ฟิน”
นี่ล่ะหนา แรงผลักดันแกมคุณแม่ขอร้อง “ลูกเป็นดาราให้แม่ด้วยนะ” ประโยคบุพการีวัดใจกับการก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงเต็มตัว
...อย่าได้อิจฉาถ้าตั้งแต่บรรทัดนี้จะบอกว่าผู้สัมภาษณ์ยังเคลิ้ม
เล่าประวัติที่บ้านให้ฟังคร่าว ๆ หน่อยค่ะ
ผมเป็นคนพิจิตรครับ พ่อกับแม่ทำงานขายเสื้อผ้าทั่วไป เลี้ยงดูไม่ต่างจากเด็กคนอื่น ไม่ได้สปอยล์แต่แอบดุๆ บ้าง เวลาอยากได้ของเล่นชิ้นหนึ่งก็ยากเหมือนกัน ผมมีพี่สาว 1 คนครับ
แล้วเข้าวงการบันเทิงได้อย่างไรคะ
จริงๆ ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนชอบคอมพิวเตอร์ เล่นนู่นนี่เหมือนเด็กทั่วไป ชอบด้านไอที แล้วคนที่เป็นเด็กติดไอทีจะมีโลกส่วนตัว ไม่ชอบคุยกับใคร ไม่เคยมีความคิดอยากเป็นดาราหรือคนดังอะไรเลย แต่พอพ่อกับแม่ดูละคร ดูโทรทัศน์ทุกวัน ก็เลยอยากให้ลูกเป็นดารา ที่จริงก็เกิดจากการยัดเยียดของแม่น่ะครับ แม่บอกลูกเป็นดาราให้แม่ด้วยนะ ผมก็ตอบ “ไม่เป็น” (หัวเราะร่วน)
ตอนนั้นแม่ผมสั่งของในแคตตาล็อกมิสทีน ฟรายเดย์ แล้วเห็นมีการประกวดเพื่อเข้าสู่วงการบันเทิง ก็ยังมาบอกผมว่า “อยากให้ลูกไปประกวด” ผมก็บอก ไม่เอาผมไม่ส่งนะ ผมไม่ให้รูปแม่ด้วยเพราะต้องส่งรูป แต่แม่กลับแอบส่งรูปผมไปเองแล้วดันติด ได้เข้ารอบ ครั้งนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้มีโอกาสประกวดมิสทีน ฟรายเดย์ แล้วชนะได้รับตำแหน่งฟรายเดย์ ดิ ไอดอล ปี 2011 ครับ
แต่ก็ยังไม่ได้เข้าสู่วงการบันเทิงเต็มตัว มีแค่ถ่ายโฆษณาตัวเล็กๆ ของมิสทีนลงในแคตตาล็อก ตอนนั้นเรียนจบ ม.6 พอดี กำลังเข้ามหาวิทยาลัย ก็มาเจอ “พี่ปิ๊ก ชาญฉลาด” ผู้จัดการส่วนตัว พี่เขาเห็นผมในเฟซบุ๊กแล้วก็ตามหาตัวผมจนมาเจอกันที่พิจิตร จึงตกลงกันว่าจะมาทำงานในวงการบันเทิงร่วมกัน
งานชิ้นแรกในกรุงเทพฯ คือการมีโอกาสได้คุยกับช่อง 3 ทางช่องอยากให้แคสติ้ง พอดี “ป้าแจ๋วยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์” และ “พี่แหม่มธิติมา สังขพิทักษ์” กำลังหาตัวแสดงคุณชายพุฒิภัทร พอแคสติ้งแล้วปรากฏว่าได้ครับ
@วันนี้เลยดังมากเลยรู้ตัวไหม
อืม.. (นิ่งคิดเล็กน้อย) ผมยังไม่รู้สึกว่าตัวเองดังมาก ทุกวันนี้ก็เรียนด้วยทำงานด้วยรวม 7 วัน ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองดังนะครับ (อมยิ้ม)
@แล้วที่บ้านล่ะค่ะพอเห็นลูกในโทรทัศน์ คุณแม่ว่าอย่างไรบ้าง
ครอบครัวผมก็ดีใจครับ คุณแม่อยากให้ผมเข้าวงการบันเทิงอยู่แล้ว ก็โทรมาคุยกันทุกวันถามเป็นอย่างไรบ้าง เหนื่อยไหม คนแถวบ้านก็มีมาพูดคุยกับแม่
@ทุกวันที่คุยกับแม่ แม่มีคำสอนอะไรให้เจมส์เป็นพิเศษไหมคะ
แม่ไม่ถึงกับมีคำสอนอะไรเป็นพิเศษ แต่แม่จะให้กำลังใจผมตลอด เวลาผมท้อหรือเหนื่อยแม่จะรู้ แม่จะบอก “สู้ๆ นะลูก” คอยปลอบเป็นกำลังใจที่ดีให้กับผมครับ
@คิดวางแผนหรือยังว่าจะเป็นอย่างไรในวงการบันเทิงต่อไป
คิดแค่ตอนนี้นะครับว่าเราอยากทำงานเป็นอาชีพนักแสดง ทำอาชีพนักแสดงให้ดีที่สุดไปก่อน อย่างบทคุณชายหมอมีคนชื่นชมชื่นชอบ ผมก็ชื่นใจที่เราสามารถเล่นแล้วทำให้คนเชื่อในบทนั้นได้
@การเก็บออมเงินเพื่ออนาคตล่ะค่ะ หลายคนบอกวงการบันเทิงได้เงินง่าย เร็ว เยอะ แต่ก็มีคนรุ่นใหม่เข้ามาเร็ว เจมส์มองอย่างไร
เงินส่วนมากที่ผมได้ก็มาจากการถ่ายละครเพียงอย่างเดียว ตอนนี้ก็มุ่งเรื่องศึกษาต่อ ก็ยอมรับนะครับว่าเงินจากอาชีพนักแสดงมาเร็วจริง แต่ผมก็เก็บเงินไว้เพื่อเรียนก่อน ตอนนี้ผมยังอายุ 19 ปีเอง ยังอยากเรียนครับ แต่งานก็ทำให้ผมสนุกเพราะได้เจอคนมากขึ้น เรียนรู้การอยู่กับผู้ใหญ่ จริงแล้ววงการบันเทิงเป็นอะไรที่น่ารักนะครับ ตอนนี้ผมอยากขอเวลาพิสูจน์ตัวเองก่อน ในช่วง 510 ปีข้างหน้า ผมก็ยังอยากเป็นนักแสดงที่ดี เป็นนักแสดงที่มีคุณภาพจริงๆ
ปีก่อนผมผิดพลาดเรื่องการเรียน ต้องเร่งถ่ายละคร 7 วัน ไม่มีเวลาเรียนหนังสือก็ต้องดร็อป ทำให้ผมต้องกลับไปเรียนปี 1 ซ้ำใหม่ พอตอนนี้เริ่มจัดลำดับชีวิตได้ถ่ายละคร 3 วัน ผมก็ยังอยากที่จะเรียน ไม่ถึงกับเสียดายเวลาที่ต้องหยุดเรียนไป 1 ปี ตอนนี้คิดว่าทุกเรื่องต้องทำให้สมดุล พอหยุดเรียนไปก็เลยมีโอกาสได้ทบทวนตัวเองถึงวิชาที่ตัวเองอยากเรียน ชื่นชอบ ก็เลยเปลี่ยนจากคณะนิเทศศาสตร์ เป็นคณะบริหารธุรกิจ ตอนเด็กๆ ผมมีความฝันอยากทำธุรกิจอะไรบ้าง อนาคตผมอาจได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาทำอะไรเอง
@สังคมปัจจุบันสร้างมายาคติว่าคนต้องหล่อต้องสวยถึงเด่น ดัง ได้ดี เจมส์มองเรื่องนี้อย่างไรบ้างคะ
ผมมองว่าไม่จริงทั้งหมดนะครับ เหมือนการเป็นนักแสดงที่มีฝีมือ ก็ไม่จำเป็นต้องหน้าตาดีเสมอไป ความอดทน การเตรียมตัวเองที่จะเรียนรู้ เป็นอะไรที่มากกว่าเรื่องหน้าตาอย่างเดียว
@มีดาราแบบอย่างการทำงานในดวงใจไหมคะ
พี่อ๊อฟพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ก็เป็นพี่นักแสดงที่เป็นดารามาก่อนเป็นผู้กำกับ เป็นผู้ใหญ่ที่มีมุมมองการทำละครดี เป็นแบบอย่างผมครับ หรือดาราผู้ใหญ่หลายท่าน พี่ปุ๊มนตรี เจนอักษร พอเล่นละครด้วยกันผมก็สัมผัสได้ว่านักแสดงระดับนี้ทำการบ้านทุกอย่าง ดาราเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่มีชีวิตปกติได้ แต่ก็มีนักแสดงบางกลุ่มที่เราสามารถเอาเป็นเยี่ยงอย่างได้ นำมาประพฤติตัวให้เป็นแบบอย่างได้
@พอวันนี้เจมส์ได้รับบทคุณหมอ เจมส์มองคุณหมอกับบทบาทในสังคมอย่างไรบ้างคะ
มีบทหนึ่งที่ผมต้องพูดว่า “เป็นคุณหมอไม่ได้รวย แต่เป็นคนช่วยชีวิตคนด้วยใจจริงๆ” สะท้อนวิชาชีพหมอไม่ทุกคนที่ต้องมีเงินเยอะ เพราะเป็นอาชีพที่ช่วยคน ทำให้เห็นคุณหมอสมัยก่อนเป็นอาชีพที่ใช้ใจ ผมไม่ถึงกับอยากเป็นหมอ เพราะพี่สาวผมเป็นหมอเพิ่งเรียนจบครับ รออีกสักพักก็จะเรียนเฉพาะทาง แต่ผมคิดว่าผมอยากช่วยโรงพยาบาลเหมือนกัน ที่ไหนก็ได้
ใจจริงมีโครงการที่อยากทำร่วมกับโรงพยาบาล เพราะผมสวมบทหมอ เรามีชื่อเสียงด้วยบทหมอ ก็อยากกลับไปตอบแทนโรงพยาบาลที่ทำให้ผมมีชื่อเสียงคือโรงพยาบาลศิริราชที่คอยให้ข้อมูลการเป็นคุณหมอสมัยก่อนด้วย ป้าแจ๋วเป็นคนพาผมเข้าไปเรียนรู้ ขอข้อมูลจากโรงพยาบาลเพื่อนำมาแสดง ขอบคุณโรงพยาบาลศิริราชนะครับที่ทำให้ผมได้เข้าไปดูอาจารย์ใหญ่ ได้เข้าห้องผ่าตัดจริงๆ ได้เห็นวิวัฒนาการทางการแพทย์ สังคมทางการแพทย์
นี่คือความโชคดีของชายหนุ่มวัย 19 ปี ที่ได้เรียนรู้อะไรต่ออะไรมากกว่าคนวัยเดียวกัน ในแววตาสดใส รอยยิ้มละไม เจมส์ทิ้งท้าย โลกใบนี้ยังมีอะไรให้ได้เรียนรู้อีกเยอะ
คู่หูต่างวัย
ผันตัวเองเป็นผู้จัดการส่วนตัว แม้จะเคยผ่านงานระดับประเทศมาก่อน “ปิ๊ก ชาญฉลาด” ชายหนุ่มผมยาวมาดเท่คนนี้แหล่ะที่เจมส์เรียกว่า “พ่อ” คนที่มีบทบาทสำคัญชักพาเจมส์เข้าสู่ถนนบันเทิง เจมส์ “เป๊ะ นิ้ง เนี้ยบ” มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักการอยู่กับผู้ใหญ่ก็มาจากคำพร่ำสอนจากชายผู้นี้
แต่ในห้วงเวลาเดียวกัน สังคมก็คลางแคลงสงสัยว่า เหตุใดจึงไม่เห็นเจมส์ย่างกรายไปงานอีเวนต์ ทั้งที่มีโอกาสกำลังดังพลุแตก โชว์ตัวไม่กี่ชั่วโมงได้รายได้ระดับหมื่นถึงแสนบาท ทำไมผู้จัดการและดาราจึงไม่รีบโกย ซึ่งเมื่อถึงคำถามนี้ คุณปิ๊กขออธิบายอย่างละเอียด
“น้อง (เจมส์) เป็นคนส่วนหนึ่งของสังคม เขาเข้ามาก็ไม่มีอุปสรรคขวากหนาม มาได้ถึงแค่นี้ก็ถือว่าโอเค และทุกวันนี้สิ่งที่ทุกคนได้เรียนรู้จากเขาคือ มารยาทไทย การไปลามาไหว้ การเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ผู้อาวุโส คุณจะเห็นความจริงใจของเขาที่ส่งผ่านไปถึงความเคารพผู้อาวุโส
ตอนนี้เขายังเด็ก อยากให้คนเอาใจช่วยให้เขาพัฒนาฝีมือในการแสดง อย่างเพิ่งรักแล้วรีบทิ้งเขาไป เวลาคุณรักใครชอบใคร เราก็เอามือเราพยุงเขาใส่พาน แต่พอเวลาไม่ได้ดั่งใจด้วยมือที่พยุงเดียวกันนี้แหล่ะที่พร้อมกระชากเขาลงมา ผมก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น การเติบโตของเขาจึงมีความหมาย
ผมไม่คาดคิดว่าละครเรื่องนี้จะดัง เป็นที่คาดหมายขนาดนี้ แต่ก็ต้องบอกว่าน้องไม่ได้หลับได้นอน ทำงาน 7 วันเต็ม เขามีความอดทนค่อนข้างสูง อย่างพอละครเรื่องนี้ออก กระแสเข้ามา ก็มีอีเวนต์ติดต่อเข้ามา แต่ผมต้องการให้เขาได้มีเวลาเรียนชดเชยกับปีที่ผ่านมาที่เขาได้ดร็อปเรื่องการเรียนไป ตอนนี้ถือว่าเขาเรียนช้ากว่าคนอื่น จึงไม่มีความหมายอื่นใดซ่อนอยู่ ที่ผ่านมาเราแค่โชคไม่ดีเรื่องการบริหารจัดการเวลา ตอนนี้ผมไม่ได้เป็นห่วงอะไร เพราะเขามีมุมมองชีวิตที่ดี เข้ากับคนได้แม้กระทั่งกับช่างไฟในกองถ่าย เขาก็เล่น ก็คุย
ตอนนี้เขามีเรื่องเรียนเป็นเรื่องหลัก แล้วงานที่รองลงมาคือเรื่องของการแสดง ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้อีเวนต์ เยอะมาก แต่การที่เราต้องแบ่งเวลาทำอย่างอื่นที่หลีกเลี่ยงจากงานหลัก ผมมองว่ามันไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะการดูแลงานหลักไม่ให้เสียหาย ถ้าเกิดมีใครสักคนเสียหาย ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จริงๆ ถ้าอ่านจบในเว็บบอร์ด เราไม่ได้บอกว่าไม่รับงานอีเวนต์เลย ตอนนี้จริงๆ อีเวนต์ที่เรารับจะเป็นอีเวนต์ที่เป็นสปอนเซอร์เราอยู่แล้ว
เขาเป็นพรีเซนเตอร์ธุรกิจความสวยงามเพียงตัวเดียว เราไม่ได้มองในเรื่องอื่นใด อีเวนต์ก็เป็นกิจกรรมอีกอันหนึ่งแหล่ะ แต่ว่าอีเวนต์มีทุกวัน วันหนึ่งมีหลายรอบ แต่ความสามารถเราไม่สามารถบริหารจัดการได้ และเราเพิ่งจะรับเล่นละครอีกเรื่อง เวลาก็ยิ่งเต็ม เราก็หวังเหมือนกันว่าวันหนึ่งข้างหน้าเราจะมีโอกาสไปเจอคนข้างนอกในส่วนอีเวนต์บ้างเหมือนกัน