posttoday

เศรษฐกิจไทยยังหดตัวต่อเนื่องไตรมาสที่ 5

23 พฤษภาคม 2564

เศรษฐกิจไทยยังหดตัวต่อเนื่องไตรมาสที่ 5 สวนทางค่าครองชีพที่สูงขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/2564 หดตัวที่ -2.6% YoY น้อยกว่าตลาดคาดที่ -3.3% โดยถูกขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก โดยการส่งออกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ขณะที่ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ยังคงส่งผลกระทบต่อการบริโภคและภาคการท่องเที่ยวอย่างมาก แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบที่เข้ามาช่วยสนับสนุนกำลังซื้อของครัวเรือน เช่น โครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง โครงการ ม.33 เรารักกัน เป็นต้น

เนื่องจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ที่ 1.8% โดยมองว่าความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังอยู่ในระดับสูง ท่ามกลางอัตราการฉีดวัคซีนของไทยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและพฤติกรรมของผู้บริโภค ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนมีทิศทางขยายตัวต่ำกว่าที่เคยประเมิน อีกทั้งความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดจะส่งผลให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในไทยต่ำกว่าคาด แม้ว่าจะมีการทยอยเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยว โดยในปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวอาจอยู่ในกรอบ 0.25-1.20 ล้านคน อย่างไรก็ดี ประมาณการเศรษฐกิจใหม่ได้รวมปัจจัยบวกจากแนวโน้มการส่งออกที่จะเติบโตดีจากอานิสงส์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ยังได้รวมปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินการอยู่และคาดว่าจะออกมาเพิ่มเติมภายใต้งบกลางของ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 และวงเงินกู้ 1 ล้านล้าน

ทั้งนี้ การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลให้เงินเฟ้อไทยมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่าครองชีพของครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลให้การจ้างงานและรายได้ครัวเรือนไทยไม่เติบโตสอดคล้องไปกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น และก่อให้เกิดภาวะ Stagflation ดังนั้น ภาครัฐอาจมีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการทางการคลังเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือน ทั้งนี้ เนื่องจากภาครัฐได้มีการกู้เงินเต็มวงเงินที่เหลือของ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ภาครัฐอาจจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มและขยายเพดานหนี้สาธารณะสูงกว่า 60% ขณะที่นโยบายการเงินอาจมีความสามารถจำกัดในช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางระดับเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น