posttoday

เศรษฐกิจไทย ผวาหนักเอาโควิดโอไมครอนไม่อยู่

29 พฤศจิกายน 2564

โควิดโอไมครอนพ่นพิษ ลุ้นระทึกเศรษฐกิจไทยเอาอยู่ไม่อยู่ หลังรัฐบาลเทหมดหน้าตักจนหมดกระสุน

แม้ว่ายังไม่มีความชัดเจนว่าโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอไมครอน จะร้ายแรงมากกว่าหรือน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า ที่เล่นงานทั้งโลกรวมถึงประเทศไทย ทำให้ทั้งสังคมและเศรษฐกิจไทยตกอยู่ในภาวะหายใจไม่ทั่วท้องในช่วงส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่

สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อมีรายงานว่า โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอไมครอน มีต้นกำเนิดจากประเทศทวีปแอฟริกา ประเทศไทย โดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งห้ามประชาชนจาก 8 ประเทศในทวีปแอฟริกา เข้าไทยทันที

การตัดสินใจเด็ดขาดรวดเร็ว ได้รับคำชื่นชมจากนักวิชาการอย่างมากว่ารัฐบาลมาถูกทาง แม้ว่าจะต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเอง สวนทางกับนโยบายเร่งรีบเปิดประเทศไทยก็ตาม

รัฐบาลมีบทเรียนจากการประมาทคุมการแพร่ระบาดของสายพันธุ์อูฮั่น ที่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวไทยจากจีนเข้าไทย และหลังจากนั้นเมื่อมีสายพันธุ์เดาต้า รัฐบาลก็ตัดสินใจล่าช้าห้ามผู้เดินทางจากอินเดียเข้าไทย จนทำให้เกิดการระบาดใหญ่ในประเทศไทยถึงทุกวันนี้

โควิดสายพันธุ์อูฮั่นทุบเศรษฐกิจไทยปี 2563 ติดลบไปถึง 6.1% และสายพันธุ์เดลต้าทุบเศรษฐกิจปี 2564 ที่เดินจะฟื้นตัวได้ 3-4% ล่าสุดคาดว่าโตได้เกิน 1% ก็เก่งแล้ว

สำหรับปี 2565 รัฐบาลคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้ 4% แต่เมื่อมีการระบาดของสายพันธุ์โอไมครอน รัฐบาลถึงต้องเร่งออกมาตรการเข้มข้น เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน

แม้ว่าวันนี้ ไทยยังยืนยันว่าไม่พบโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอไมครอน ในไทยแม้แต่คนเดียว แต่ประชาชน นักลงทุน ต่างหยุดความวิตกกังวลไม่ได้ เพราะเชื่อว่าสักวันหนึ่งไทยต้องเจอโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอไมครอน ในไม่ช้า เนื่องจากไทยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติเข้ามาในไทย และมีการผ่อนผันการตรวจเชื้อแค่ ATK ก็ได้แล้ว

นอกจากนี้ยังมีแรงงานต่างชาติหนีเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของการระบาดของโควิด-19 คลัสเตอร์ใหม่ๆ ต่อเนื่อง ทำให้เกิดความกังวลว่าแรงงานหนีเข้าประเทศผิดกฎหมายจะเป็นผู้นำเข้าเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอไมครอน เข้ามาในไทย

ขณะเดียวกัน ในประเทศไทย ก็มีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ต่างๆ อย่างรวดเร็ว ยกเลิกเคอร์ฟิวทั่วประเทศ ขยายจังหวัดสีฟ้านำร่องท่องเที่ยว ที่สามารถดื่มสุราได้จาก 4 จังหวัด เป็น 7 จังหวัด ซึ่งการดื่มสุราเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีความเสี่ยงทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ไม่ว่าเก่าหรือไม่

ล่าสุดกรุงเทพมหานคร ประกาศให้ร้านอาหารดื่มสุราได้จากไม่เกิน 3 ทุ่ม เป็นไม่เกิน 5 ทุ่ม เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ แต่ก็ยังต้องลุ้นว่า การผ่อนปรนนี้จะได้คุ้มเสียหรือไม่

วันนี้ ประเทศไทยเปิดประเทศมากว่า 1 เดือนแล้ว สามารถคุมการติดเชื้อได้เหลือวันละ 5-6 พันคน มีการเสียชีวิตต่ำกว่าวันละ 50 คน ถือว่ารัฐบาลควบคุมได้ดี

แต่เมื่อมีการผ่อนคลายประเทศมากขึ้น การทำผิดกฎหมายมีทั่วประเทศ ทั้งการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างชาติ และการเปิดขายสุราในทุกจังหวัดที่ยังไม่ได้รับอนุญาต จะเป็นเหมือนการเพราะเชื้อโควิดให้ประทุรอบใหม่หรือไม่

การที่ไทยเจอการระบาดของโควิดมา 2 ปี เต็ม ทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะทรุกแสนสาหัว ประชาชนได้รับความเดือนร้อนทั่วหน้า ตกงานทะลุล้านคน คนที่ทำงานอยู่ก็รายได้ลดลง หากมีการระบาดรอบใหม่จากเชื้อตัวใหม่ย่อมส่งผลกระทบเศรษฐกิจสาหัสกว่า 2 ปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

ถึงวันนี้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง จะยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจปี 2565 จะขยายตัวได้ 4% แต่นั้นยังไม่ได้ประเมินความเสี่ยงจากการระบาดของโควิดรอบใหม่ ทั้งจากสายพันธุ์เก่าหรือไหม่ที่มีความเสี่ยงเกิดได้ทุกเมื่อ

แม้ว่า วันนี้ โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอไมครอน ยังไม่ชัดเจนมีความรุนแรงมากขนาดไหน และวัคซีนที่เราฉีดกันเข้าไปเต็มแขน จะป้องกันและลดอาการของพันธุ์โควิดพันธุ์ใหม่ได้ขนาดไหน แต่การที่องค์การอนามันโลกออกมาแสดงความวิตกว่าโลกอยู่ในความเสี่ยงสูงจากโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอไมครอน ทำให้ตลาดการเงิน ตลาดทุน และเศรษฐกิจเกิดการปั่นป่วน

การที่ ประเทศญี่ปุ่นสั่งปิดประเทศป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอไมครอน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เปิดประเทศให้มีการแข่งขันโอลิมปิก แสดงให้เห็นโควิดสายพันธุ์ใหม่น่ากลัว

สำหรับประเทศไทย เศรษฐกิจอยู่ในภาวะฟื้นตัว รัฐบาลเทหมดหน้าตัก กู้เงินฟื้นเศรษฐกิจไปแล้ว 1.5 ล้านล้านบาท จนต้องขยายเพดานหนี้ประเทศเพิ่มขึ้นจาก 60 เป็น 70% ของจีดีพี

นอกจากนี้ ยังเสี่ยงเปิดประเทศให้เศรษฐกิจลุกขึ้นเดินต่อไปได้ท่ามกลางที่ยังเอาโควิดพันธุ์เก่าเดลต้าไม่อยู่หมัด และต้องมาเจอโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอไมครอน เศรษฐกิจไทยจึงถูกเขย่าขวัญอย่างหนัก ว่าหากเกิดการระบาดรอบใหม่ในไทยรุนแรงเอาไม่อยู่ เศรษฐกิจจะแย่ลงไปมากกว่าเดิมอีกมากน้อยขนาดไหน และรัฐบาลจะมีเงินในถังมาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือไม่