สรุปให้เหตุอันใดศาลยกฟ้อง'บิ๊กอ๊อด'คดีเปลี่ยนความเร็วรถบอส
ศาลอาญาทุจริตฯยกฟ้องพล.ต.อ.สมยศ คดีเปลี่ยนแปลงความเร็วรถบอส อยู่วิทยา เหตุไม่ปรากฎหลักฐานนำสืบของโจทก์ จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อิทธิพล บังคับ กดดัน หรือสมคบคิดวางแผน
กรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอ่านคำพิพากษาในคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผบ.ตร.และพวกรวม 8 คน ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถยนต์ของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส อยู่วิทยา ในคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิต
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางให้เหตุผลในคำพิพากษายกฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 -3 และจำเลยที่ 5-7 โดยเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า พล.ต.อ.สมยศกับพวกจำเลยทั้ง6คนได้ร่วมกันกระทำความผิดตามที่ถูกฟ้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการใช้อิทธิพล บังคับ กดดัน และโน้มน้าว พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ (สบ 4) กลุ่มงานตรวจเคมีฟิสิกส์ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (ตำแหน่งขณะนั้น) ให้เปลี่ยนแปลงวิธีการคำนวณความเร็วรถยนต์
ข้อสงสัยและความไม่ชัดเจนในพยานหลักฐาน
คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้ตั้งข้อสงสัยและความไม่ชัดเจนในพยานหลักฐาน เกี่ยวกับ ความไม่น่าเชื่อถือ ของไฟล์คลิปเสียงบันทึกการสนทนา (วัตถุพยาน วจ.5) และรายงานสรุปผลการตรวจสอบพยานหลักฐานดิจิทัล เนื่องจาก"ไม่ใช่ต้นฉบับ" และมีความเป็นไปได้ที่จะมีการดัดแปลงแก้ไขข้อมูล ประกอบกับคำให้การของ พ.ต.อ. ธนสิทธิ์ เองก็มีความ ไม่แน่นอนและขัดแย้งกัน ในแต่ละชั้นของการให้การ ทำให้ศาลต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
ส่วนการประชุมเพื่อแสดงวิธีการคำนวณความเร็ว ศาลพิจารณาว่า บรรยากาศเป็นไปอย่างเปิดเผย และเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงวิชาการไม่ปรากฏข้อความโน้มน้าว กดดัน หรือบังคับ อย่างชัดเจนของพล.ต.อ.สมยศกับพวก
แม้พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก จะมีการกล่าวถึง "พี่อ๊อด" (พล.ต.อ.สมยศ) ในบทสนทนา แต่ศาลมองว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว และไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนว่า พล.ต.อ.สมยศ เป็นผู้สั่งการหรือสมคบคิด ให้พล.ต.อ.มนู พูดในลักษณะดังกล่าว
การกระทำตามอำนาจหน้าที่โดยชอบ
ในส่วนของจำเลยที่ 3 (พนักงานสอบสวน) ศาลมองว่าการสอบสวนเพิ่มเติม พ.ต.อ. ธนสิทธิ์ และการจัดให้มีการประชุมแสดงวิธีการคำนวณความเร็ว เป็นการ ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ของพนักงานสอบสวนในการรวบรวมพยานหลักฐาน และ ไม่ปรากฏว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แม้จะมีบุคคลอื่นเข้าร่วมฟังด้วยก็ตาม
การที่จำเลยที่ 5 (ทนายความ) และที่ 6 ติดต่อประสานงานให้จำเลยที่ 7 มาให้ความเห็น ก็ถือเป็นการ ดำเนินการในขอบเขตสิทธิ ของผู้ต้องหาในการนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
ยกฟ้องเพราะขาดเจตนาในการกระทำผิด
ศาลไม่พบพยานหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพล.ต.อ.สมยศจำเลยที่1และจำเลยที่2และจำเลยที่3 มี เจตนาโดยตรง ในการใช้อิทธิพล บังคับ กดดัน หรือสมคบคิดวางแผนเพื่อเปลี่ยนแปลงความเร็วรถยนต์ การแสดงความคิดเห็นของพล.ต.อ.สมยศในที่ประชุม ถูกมองว่าเป็น การแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการ ตามประสบการณ์ส่วนตัว ส่วนของจำเลยที่ 5 และที่ 6 ศาลไม่พบว่ามี การโน้มน้าว กดดัน หรือใช้อิทธิพลบังคับ พ.ต.อ. ธนสิทธิ์ ให้ยึดถือวิธีการคำนวณของจำเลยที่ 7
โดยสรุปศาลยกฟ้อง พล.ต.อ.สมยศจำเลยที่1 และพวกประกอบด้วยจำเลยที่2,3,5,6,7 เนื่องจาก พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงการกระทำความผิดโดยชัดแจ้ง และยังมีข้อสงสัยและความไม่น่าเชื่อถือ ในพยานหลักฐานบางส่วน
ประกอบกับการกระทำบางอย่างของจำเลย สามารถตีความได้ว่าเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยชอบ หรือเป็นการแสดงความคิดเห็นตามปกติ โดยขาดเจตนาในการกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา
อย่างไรก็ตาม ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 4 นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด โทษจำคุก 3 ปี และนายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโสจำเลยที่ 8 โดยมองว่าการกระทำของบุคคลทั้งสองเป็นการ ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหา ซึ่งเป็นประเด็นที่แตกต่างจากการพิจารณาจำเลยกลุ่มอื่นในคดีนี้